10 เทคโนโลยี สุดลํ้าจากรายงานของ World Economic Forum น่าจับตามองในปี 2023 และจะแพร่หลายในอีก 3-5 ปีข้างหน้า แล้ว 10 เทคโนโลยีนั้นมีอะไรบ้าง
10 เทคโนโลยีแห่งโลกอนาคต จาก World Economic Forum
เทคโนโลยีของโลกเราเปลี่ยนไปเร็วมาก แล้วมันก็เข้ามาอยู่ในชีวิตเรามากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งทาง World Economic Forum ก็ได้ทำรายงานออกมา เกี่ยวกับ 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองในปี 2023 โดยทั้ง 10 จะเป็นเทคโนโลยีที่จะเป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายในอีก 3-5 ปีข้างหน้า แล้วจะมีเทคโนโลยีอะไรน่าสนใจบ้างไปดูกัน
เกณฑ์การพิจารณาของ 10 เทคโนโลยี จาก World Economic Forum
ก่อนที่เราจะไปดูว่า 10 เทคโนโลยีนั้นมีอะไรบ้าง เรามาดูเกณฑ์การพิจารณากันก่อนซึ่งมีอยู่ 5 ด้านได้แก่
- ผู้คน (People) เทคโนโลยีนี้จะต้องเสริมสร้างความปลอดภัยและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เช่น ความมั่นคงด้านอาหาร การเข้าถึงน้ำสะอาด และปรับปรุงผลลัพธ์ด้านการดูแลสุขภาพ
- โลก (Planet) เทคโนโลยีนี้จะต้องช่วยปกป้องและฟื้นฟูโลกของเรา เช่น การฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ การลดของเสีย และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- ความเจริญรุ่งเรือง (Prosperity) เทคโนโลยีนี้จะต้องศักยภาพในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตได้แก่ การสร้างงาน การเชื่อมต่อผู้คนได้ดีขึ้น และเพิ่มเวลาว่างให้มากขึ้น
- อุตสาหกรรม (Industry) เทคโนโลยีเหล่านี้จะ Disrupt อุตสาหกรรมที่มีอยู่ และสร้างตลาดใหม่
- ความเท่าเทียม (Equity) เทคโนโลยีเหล่านี้จะส่งเสริมความเท่าเทียมทางสังคม ส่งเสริมการเข้าถึงทรัพยากรและบริการที่จำเป็น เช่น การดูแลสุขภาพ พลังงาน วัสดุ และอินเทอร์เน็ต
10 เทคโนโลยี จาก World Economic Forum มีอะไรบ้าง
งั้นเรามาดู 10 เทคโนโลยีจาก World Economic Forum จะมีอะไรบ้างมาเริ่มจากอันดับที่ 10 กันเลย
10. การดูแลสุขภาพด้วย AI (AI-Facilitated Healthcare)
การดูแลสุขภาพด้วย AI หลังจากที่เราต้องเจอกับโควิด19 ทำให้เราเห็นความบกพร่องของระบบสาธารณสุขในหลาย ๆ ซึ่ง AI สามารถช่วยแก้ปัญหาได้ เช่น ลดความล่าช้าของผู้ป่วยที่ต้องรอรับการรักษา ซึ่่งปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากความสามารถในการรักษา แต่เกิดจากความไม่เท่าเทียมกันในการเข้าถึงการรักษา ตัวอย่างที่ดีตัวอย่างหนึ่งก็คือ บริษัท Medical Confidence ในเครือของ CloudMD ใช้ AI ในการจัดลำดับความต้องการการรักษาให้เหมาะสมกับความพร้อมของสถานพยาบาล ทำให้สามารถลดระยะเวลารอรับการรักษาได้ บางเคสจากที่เคยรอเป็นเดือน พอเอา AI เข้ามาช่วย กลายเป็นรอแค่ไม่กี่สัปดาห์
ภาพจาก medicalconfidence.com
9. คลาวด์คอมพิวติ้งแบบยั่งยืน (Sustainable Computing)
เดี๋ยวนี้เราใช้อะไรก็ผ่านคลาวด์กันหมดแล้ว แล้วระบบคลาวด์ก็ใช้ไฟมากถึง 1% ของไฟฟ้าที่ผลิตได้ในโลก และระบบก็เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ปัญหาสิ่งแวดล้อมก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกัน ทำให้เกิดระบบคลาวด์ที่รักษาสิ่งแวดล้อมไปด้วยพร้อม ๆ กัน ซึ่งระบบคลาวด์แบบนี้แบ่งออกเป็นสามอย่าง
- การใช้ประโยชน์จากความร้อนของระบบคลาวน์ เช่น ทำความร้อนในอาคาร น้ำ และอุตสาหกรรม มีตัวอย่างของเมืองสตอกโฮล์มที่มีโครงการใช้ประโยชน์จากความร้อนของ data centers ไปใช้ในครัวเรือน
- ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์และปรับการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพ โดย DeepMind ประสบความสำเร็จในการเอา AI เข้ามาช่วยตรงจุดนี้ ทำให้สามารถลดการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล Google ได้มากถึง 40% ซึ่งการใช้ AI มาวิเคราะห์แล้วก็ปรับการใช้พลังงานก็เริ่มใช้กันแล้วใน อาคารหลาย ๆ แห่ง
- อย่างสุดท้าย ระบบคลาวด์ที่รองรับเทคโนโลยีที่สนับสนุนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ เช่น Crusoe Energy ที่ใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติ หรือใช้นํ้ามันที่ต้องเผาทิ้งหรือปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศเพราะส่วนที่ไม่คุ้มค่ากับการผลิต นำมาใช้เป็นพลังงานให้คลาวด์ประเภทนี้ได้
ภาพจาก stockholmdataparks.com
8. อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สื่อระบบประสาทแบบยืดหยุ่นได้ (Flexible Neural Electronics)
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สื่อระบบประสาทแบบยืดหยุ่นได้ หรือ อุปกรณ์ที่ใช้สื่อสารระหว่างคลื่นสมองและคอมพิวเตอร์ (Brain-Machine Interfaces) ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งมันทำให้เราจินตนาการไปถึงการควบคุมเครื่องจักรด้วยความคิด แต่ถ้ายังฟังดูเกินจริง อุปกรณ์ลักษณะคล้าย ๆ กันนี้ถูกนำมาใช้แล้วในหลายกรณี เช่น การรักษาผู้ป่วยโรคลมบ้าหมู แขนขาเทียมที่เชื่อมต่อกับระบบประสาท และเมื่อเร็ว ๆ นี้นักวิจัยได้พัฒนาวงจรการต่อประสานกับสมองบนวัสดุที่ Biocompatible ซึ่งมีความนุ่มและยืดหยุ่น แทนวัสดุที่แข็งแบบเดิม ทำให้ลดการเกิดแผลเป็นและการเคลื่อนตัวของเซนเซอร์ นอกจากนี้ยังสามารถบรรจุเซนเซอร์ได้มากพอที่จะกระตุ้นเซลล์สมองหลายล้านเซลล์ในคราวเดียว ซึ่งพอมองไปในอนาคตความเป็นไปได้ที่จะสร้างการเชื่อมต่อระหว่างมนุษย์กับ AI ก็เป็นไปได้มากขึ้น
ภาพจาก spectrum.ieee.org
7. Spatial Omics
Spatial Omics ได้รวมเทคนิคการถ่ายภาพขั้นสูงรวมกับ เข้ากับความละเอียดในการจัดลำดับ DNA เทคนิคใหม่นี้ทำให้เกิดวิธีใหม่ในการสร้างแผนที่ในระดับโมเลกุล ซึ่งจะนำไปสู่ความเข้าใจความลึกลับของสิ่งมีชีวิต ดูรายละเอียดเซลล์ และเหตุการณ์ทางชีววิทยาที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ภาพจาก researchgate.net
6. เซ็นเซอร์ติดพืช (Wearable Plant Sensors)
ที่ผ่านมาสภาพของพื้นที่เพาะปลูกจะถูกตรวจสอบโดยใช้ดาวเทียมที่มีความละเอียดต่ำ แต่ปัจจุบันก็มีการใช้โดรน และรถแทรกเตอร์ที่ติดตั้งเซนเซอร์เข้ามาใช้ด้วย ซึ่งให้ข้อมูลที่ละเอียดขึ้น และในความก้าวหน้าถัดไปก็คือ การใช้เซนเซอร์ติดพืช เซนเซอร์เหล่านี้จะเล็กมาก และไม่รบกวนพืช โดยมันจะตรวจสอบอุณหภูมิ ความชื้น และระดับสารอาหารอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผลผลิต ลดการใช้น้ำ ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง และตรวจหาสัญญาณเริ่มต้นของโรค แต่อาจจะยังติดปัญหาอยู่นิดหน่อย ตรงที่อุปกรณ์เหล่านี้ ราคายังแพงมาก
ภาพจาก science.org
Chapter 5. Metaverse เพื่อสุขภาพจิต (Metaverse for Mental Health)
เพราะจำนวนผู้ให้บริการด้านสุขภาพจิตไม่เพียงพอ และเป็นวิกฤตที่รุนแรงขึ้น ในสหรัฐอเมริกาเลยมีให้บริการสุขภาพจิตทางไกล เพื่อแก้ปัญหาตรงจุดนี้ ปัจจุบัน Metaverse กำลังถูกนำไปใช้ในการรักษาสุขภาพจิตในหลายวิธี เช่น บริษัท DeepWell Therapeutics ที่สร้างวิดีโอเกมเพื่อรักษาอาการซึมเศร้าและความวิตกกังวล และบริษัท TRIPP ก็มีเกม Mindful Metaverse ที่ช่วยเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนผ่านการเจริญสติ และการทำสมาธิ
ภาพจากyoutube.com
4. Designer Phages
Designer Phages คือการใช้เชื้อไวรัสที่ถูกออกแบบและปรับแต่งเพื่อใช้ทางการแพทย์ โดยใช้มันไปทำลายเชื้อโรคหรือเชื้อแบคทีเรียที่เป็นพาหะของโรคต่าง ๆ ยิ่งไปกว่านั้นเชื้อไวรัสพวกนี้มีศักยภาพในการรักษาโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะได้อีกด้วย ในมุมของการเกษตร ดีไซเนอร์ เฟจ ใช้ในการออกแบบอาหารเสริมเพื่อเพิ่มการเจริญเติบโตของปศุสัตว์ รักษาโรคพืชบางชนิด และกำจัดแบคทีเรียที่เป็นอันตรายในห่วงโซ่อาหาร
ภาพจาก ncbi.nlm.nih.gov
3. เชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel)
เพราะ อุตสาหกรรมการบินปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ราว 2-3% ของโลก ขณะที่กระแสรักษาสิ่งแวดล้อมก็มาแรง นั้นทำให้เชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืนเป็นเทคโนโลยีที่ทั่วโลกให้ความสนใจเพราะผลิตมาจากวัตถุดิบจากธรรมชาติหรือขยะ ปัจจุบันมีการใช้เชื้อเพลิงรูปแบบนี้ในสัดส่วนไม่ถึง 1% เท่านั้น และมันจะเพิ่มขึ้นเป็น 13-15% ภายในปี 2040 เพื่อให้อุตสาหกรรมการบินทั่วโลกบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์
ภาพจาก bangchak.co.th
Chapter 2. Generative AI
Generative AI ถูกใช้ตั้งแต่ เขียนบทความ สร้างรูป ไปจนถึงสร้างอุปกรณ์การบินในอวกาศที่มีน้ำหนักเบา ซึ่งช่วยลดเวลาได้ถึง 10 เท่า อยู่ในอุตสาหกรรมแทบจะทุกอย่างตั้งแต่อาหาร การออกแบบ เครื่องใช้ไฟฟ้า ไปจนถึงวิจัยทางวิทยาศาสตร์ Generative AI ที่เรารู้จักกันดีก็เช่น ChatGPT, Bard, Dall-E และ Midjourney เป็นต้น Generative AI จะสนับสนุนให้เรายกระดับทักษะให้มากขึ้น ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย
ภาพจาก blog.google
1. แบตเตอรี่แบบยืดหยุ่นได้ (Flexible Batteries)
เพราะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่จะถูกพัฒนาไปในอนาคตจะมีการโค้ง งอ บิด ยืด พับมากขึ้น ตัวอย่างง่าย ๆ เช่น มือถือแบบพับได้ จอแบบโค้ง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ยืดหยุ่นได้ ไปจนถึง Smart Cloth ไปจนถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์แบบสวมใส่ มีวิจัยประเมินว่า มูลค่าตลาดแบตเตอรี่แบบยืดหยุ่นทั่วโลกจะขยายตัวอีก 240.47 ล้านดอลลาร์ ระหว่างปี 2022-2027 โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีที่ราว 22.79%
ภาพจาก grepow.com
และนี้ก็คือ 10 เทคโนโลยีที่ World Economic Forum มองมาแรงมากในปี 2023 นี้ และในอีก 3-5 ข้างหน้า
ชมรายการ Digital Thailand ตอน “10 เทคโนโลยีแห่งโลกอนาคต จาก World Economic Forum” ได้ที่รายการย้อนหลังตอนนี้เลย
https://www.it24hrs.com/2023/10-technologies-world-economic-forum/
ออกอากาศวันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม 2566
ในรายการ Digital Thailand ทุกวันเสาร์ ทางช่อง 3 กด 33 เวลา 4.40-5.05 น.
ยังมีบทความที่น่าสนใจ
Meitu แอปถ่ายรูปสวย ๆ ความลับนางฟ้า สวย ครบ จบ ด้วยแอปเดียว
https://www.it24hrs.com/2023/meitu-photo-app/
อย่าลืมกดติดตามอัปเดตข่าวสาร เทคนิคดีๆกันนะคะ Please follow us
Youtube it24hrs
Twitter it24hrs
Tiktok it24hrs
facebook it24hrs
ติดต่อโฆษณา [email protected] โทร 0802345023