พรบ. ระบบการชำระเงิน ปี 2560 ได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งในรายละเอียดมีการคุ้มครองผู้บริโภค โดยเฉพาะเรื่องการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า โดยมีการกำหนดมาตรฐานอย่างเข้มงวดว่าบุคคลใดที่จะสามารถเข้าถึงข้อมูลของลูกค้าได้ และกำหนดขอบเขตของการนำข้อมูลไปใช้ หากผู้ประกอบการรายใดทำข้อมูลลูกค้ารั่ว จะมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 2 ล้านบาท
น.ส.สิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายระบบชำระเงินและเทคโนโลยีการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า พ.ร.บ. ระบบการชำระเงิน ฉบับใหม่นี้ จะทำให้เกิดความคล่องตัวในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งผู้ให้บริการและประชาชน ทำให้การเข้าสู่ยุคสังคมไร้เงินสดรวดเร็วขึ้น ซึ่งสะท้อนจากวงเงินโอนผ่านระบบพร้อมเพย์ มีการใช้พร้อมเพย์อยู่ที่ 173 ล้านรายการ มูลค่าการโอน 7 แสนล้านบาท จากผู้ใช้ที่ลงทะเบียนพร้อมเพย์ 40 ล้านราย
ส่วนผู้ประกอบการรายเดิมทั้งภาคธนาคาร และผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (non-bank) ที่มีการออกบัตรเครดิต บัตรเดบิต และ E-Money ต้องขออนุญาตหรือขึ้นทะเบียนใหม่กับธนาคารแห่งประเทศไทย ภายใน 120 วัน หรือจนถึงวันที่ 14 ส.ค.61 ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถให้บริการได้ ส่วนผู้ประกอบการรายใหม่ที่จะทำธุรกิจ E-Money ต้องมีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท จากเดิมกำหนดอยู่ที่ 200 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการแข่งขัน และมีผู้ประกอบการรายเล็กสามารถให้บริการประชาชนได้มากขึ้น ซึ่งรายละเอียดของ พรบ. ระบบการชำระเงิน ปี 2560 สามารถติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ลิงค์ด้านล่าง
ข้อมูลจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย