Depa แถลงความสำเร็จ Digital Thailand Big Bang 2018 งานมหกรรมดิจิทัลระดับนานาชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี ด้วยสถิติยอดผู้เข้าชมงานกว่า 410,000 คน ตั้งเป้ายกระดับสู่ ASEAN Connectivity
ทีมงานไอที24ชั่วโมง ได้ร่วมงานแถลงข่าวความสำเร็จการจัดงาน Digital Thailand Big Bang 2018 โดยภายในงานได้เผยสถิติสถิติยอดผู้เข้าชมงานกว่า 410,000 คน เกิดการรับรู้ของนานาชาติมากกว่า 40 ประเทศ มีสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศให้ความสนใจเข้าร่วมงานกว่า 700 ราย กับคลังความรู้ด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลระดับโลกกว่า 100 เรื่อง พร้อมวิทยากรชื่อดังทางด้านดิจิทัลกว่า 200 คน จาก 12 ประเทศทั่วโลก และสามารถรับชมย้อนหลังได้ผ่านทางเฟสบุคไลฟ์ คาดยอดการเข้าถึงบนโลกออนไลน์กว่า 10 ล้านคนจนถึงสิ้นปี
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เผยถึงความสำเร็จของงาน Digital Thailand Big Bang 2018 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ภายใต้แนวคิด “THAILAND BIG DATA : โลกเปิด เราปรับ ประเทศเปลี่ยน” จัดโดย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดย สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ระหว่างวันที่ 19-23 กันยายน 2561 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ได้รับกระแสตอบรับอย่างดี มีผู้เข้าชมงานเป็นจำนวนมากทั้งหน่วยงานภาครัฐ, เอกชน, สตาร์ทอัพ, เอสเอ็มอี, ผู้ประกอบการ, นักลงทุน, นักเรียน, นักศึกษาและประชาชนคนไทยและต่างชาติ ตลอด 5 วัน กว่า 355,000 คน เมื่อรวมกับยอดผู้เข้าชมงาน Digital Thailand Big Bang Regional 2018 ที่ depa ได้ไปจัดสัญจรใน 4 ภูมิภาคของประเทศในเมืองใหญ่ ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น, เชียงใหม่, สงขลา และระยอง ในช่วงเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม 2561 อีก 61,089 คน ทำให้ยอดผู้เข้าชมงานรวมทั้งสิ้นประมาณ 410,000 คน ซึ่งยังไม่รวมยอดผู้ที่เข้ามาชมงานผ่านการถ่ายทอดสด และรับชมย้อนหลังผ่านทางเฟสบุคไลฟ์ได้อีก คาดว่าจะมียอดเข้าถึงบนโลกออนไลน์กว่า 10 ล้านคน จนถึงสิ้นปี
โดยดิจิทัลไทยแลนด์บิ๊กแบง 2018 ไม่เพียงเป็นเวทีที่ประเทศไทยได้ประกาศศักยภาพในการเป็นผู้นำเทคโนโลยีดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียน แต่ยังเป็นเวทีที่สร้างแรงบันดาลใจ สร้างโอกาส สร้างการเรียนรู้-ต่อยอด-ขยายผล เพื่อก้าวไปสู่การเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ เกิดผลงานนวัตกรรม ไอเดียสร้างสรรค์ต่างๆ มากมาย รวมทั้งเกิดความร่วมมือต่างๆ มากมาย อาทิ
- การได้รับรางวัลโครงการเมืองอัจฉริยะยอดเยี่ยมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ภายใต้ชื่อรางวัล IDC Smart City Asia Pacific (SCAPA) ประจำปี 2561 โดยโครงการ “ขอนแก่นสมาร์ทเฮลธ์” ได้รับรางวัลชนะเลิศโครงการด้านสาธารณสุขและการบริการสังคมดีเด่น ส่วนโครงการ “ภูเก็ตสมาร์ททัวริซึม” ได้รับรางวัลชนะเลิศโครงการด้านการท่องเที่ยว ศิลปะ วัฒนธรรม หอสมุดและพื้นที่สาธารณะดีเด่น แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของไทยในการก้าวสู่การเป็นผู้นำของภูมิภาค
- การเกิดเครือข่ายความร่วมมือกับต่างประเทศในการเปิดศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้นไทย-จีน (China-Thailand Digital Incubator) ระหว่าง depa กับ บริษัท ทัสโฮลดิ้งส์ จำกัด และทัสสตาร์ ซึ่งเป็นเครือข่ายหน่วยบ่มเพาะธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อปั้นสตาร์ทอัพข้ามชาติ
- การประกาศความร่วมมือในด้านดิจิทัล เพื่อร่วมกันพลิกโฉมประเทศสู่ยุค 4.0 ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนทั้งไทยและต่างประเทศ จำนวน 25 ฉบับ
- ความร่วมมือด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้เกิดการพัฒนาเมืองอัจฉริยะทั้ง 77 จังหวัด ภายใน 5 ปี ซึ่ง depa ร่วมมือกับภาคเอกชน 17 แห่ง ขับเคลื่อนแผนงานนี้
- ความร่วมมือในการพัฒนาคนพันธุ์ดิจิทัล ให้มีทักษะการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ 21 ในกลุ่มเยาวชน คนรุ่นใหม่ผ่านโครงการ Coding Thailand ไม่น้อยกว่า 62,000 คน
- การเปิดพื้นที่ในการจุดประกาย สร้างแรงบันดาลใจ และสร้างโอกาสให้แก่เยาวชน คนรุ่นใหม่ ตลอดจนผู้ประกอบการ สตาร์ทอัพ ได้เรียนรู้ ฝึกฝนทักษะด้านเทคโนโลยีดิจิทัล สู่การต่อยอดความคิดเป็นนวัตกรรมดิจิทัล ผ่านกิจกรรมต่างๆ อาทิ โครงการ Coding Thailand, การแข่งขันโดรนมิชชั่น การแข่งโดรนเรซซิ่ง และการแข่งขันสิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมและเทคโนโลยีประเภท IoT
- การเปิดเวทีเพื่อเรียนรู้มุมมองความคิด ประสบการณ์จากสุดยอดกูรูชื่อดังด้านดิจิทัลกว่า 200 คน จาก 12 ประเทศทั่วโลก ที่มาให้ความรู้ แนวคิดในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีเพื่อการก้าวสู่โลกแห่งอนาคต ตลอดจนแลกเปลี่ยนประสบการณ์ กับหัวข้อเจาะลึกเพื่อการก้าวสู่ยุคดิจิทัล 4.0 กว่า 100 หัวข้อ
- การสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ด้านดิจิทัลให้เกิดขึ้นแก่สังคมไทย
ด้าน ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) กล่าวย้ำความสำเร็จของงานว่า นอกจากเกิดกระแสตื่นตัวเรื่องดิจิทัลไปในวงกว้างทั่วประเทศแล้ว ยังก่อให้เกิดผลกระทบต่อมิติต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษาและวัฒนธรรม เช่น เกิดเม็ดเงินลงทุนระหว่างการจัดงานกว่า 500 ล้านบาท จากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมออกบูธกว่า 480 ราย, เกิดการจับคู่ทางธุรกิจระหว่างสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการกว่า 100 ราย, เกิดโอกาสทางการศึกษาด้านดิจิทัลให้แก่เยาวชนใน 3 ระบบใหญ่ coding education, software learning and hardware learning
ซึ่งบุคลากรเหล่านี้ถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่จะกลายเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศโดยใช้ดิจิทัล, เกิดการเข้าถึงการบริการของประชาชนผ่าน digital service ในหลากหลายสาขา เช่น บริการทางการแพทย์ บริการทางการเงิน บริการทางการค้า บริการด้านข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ เป็นต้น ตลอดจนเกิดการรับรู้ของนานาชาติต่อบทบาทและทิศทางของประเทศมากกว่า 40 ประเทศซึ่งจะส่งผลต่อภาพพจน์ของไทยที่ดีในเวทีโลกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นยังเกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลในหลายเรื่อง ได้แก่ digital startup, smart city, digital manpower, digital community, data analytics และ digital education system
ดร.พิเชฐ ยังได้กล่าวในตอนท้ายโดยย้ำว่า “ดิจิทัล” มีความสำคัญอย่างมากต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เป็นทั้งตัวเร่งการขับเคลื่อนประเทศตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และเป็นเครื่องมือพลิกโฉมประเทศไทยตามแนวทางของ “Digital Transformation” เพื่อให้ไทยหลุดพ้นจากกับดักทางเศรษฐกิจ และในปีหน้าไทยจะเป็นเจ้าภาพอาเซียนปี 2019 ซึ่งขณะนี้ทางกระทรวงฯ ได้เตรียมแผนดิจิทัลอาเซียนประจำปีไว้เรียบร้อยแล้ว มั่นใจไทยจะก้าวสู่การเป็นแชร์แมนด้านดิจิทัลของอาเซียน และสำหรับก้าวต่อไปของงาน Digital Thailand Big Bang 2019 คือ ASEAN Connectivity หรือการเชื่อมโยงอาเซียนเข้าหากัน ซึ่งประเทศไทยของเรานับว่าโชคดีมากที่มีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์อยู่ตรงกลางอาเซียน การเชื่อมโยงดังกล่าวจึงทำให้ไทยได้ประโยชน์มากที่สุด ไทยจะกลายเป็นสี่แยกอาเซียนและจะพัฒนาเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงอาเซียนในอนาคตได้อย่างแน่นอน
สามารถติดตามรายละเอียดกิจกรรม และชมภาพบรรยากาศงาน “Digital Thailand Big Bang 2018”
ได้ที่ digitalthailandbigbang.com และ facebook.com/digitalthailandbigbang