หากจะอธิบายเชิงเปรียบเทียบว่าขีดความสามารถของ AI ที่ทรงประสิทธิภาพและชาญฉลาดอย่างยิ่งนั้นอยู่ที่จุดใดแล้วในชีวิตจริง ก็สามารถเปรียบได้ว่า AI กำลังวิ่ง take off อยู่บนลานบิน และใกล้ถึงจุดที่มันกำลังจะพ้นจากพื้นดินและกำลังเริ่มทะยานในอีกไม่นาน นั้นเอง
แต่หากจะประมาณการณ์ในขีดความสามารถของมันในอนาคต ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ในห้อง LAB ของบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก เช่น Google, Facebook, Apple, IBM และ Microsoft เป็นต้น เราจะพบว่า เทคโนโลยีต่างๆ ที่บริษัทเหล่านี้กำลังคิดค้นและผลิตให้ผู้คนนับหลายพันล้านคนใช้ในอนาคตอันใกล้นั้น ล้วนแล้วแต่บรรจุ AI เข้าไปในสมองของผลิตภัณฑ์เหล่านั้นทั้งสิ้น ซึ่งมีการวิเคราะห์จาก World Economic Forum ว่า AI กำลังจะถึงจุดทะยาน (Tipping point) ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องบินกำลังไต่ระดับความสูงขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยอัตราเร่งตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป
AI จะเริ่มส่งผลกระทบนับจากนี้ไปในธุรกิจต่างๆในหลายอุตสาหกรรม เช่น สื่อ, โทรคมนาคม, การบริการทางการเงิน, โลจิสติกส์, ค้าปลีก, การแพทย์และสุขภาพ ไปจนถึงการศึกษา ตามลำดับ โดยทั้งนี้ก่อนถึงจุด Tipping point ของ AI ในปี 2025 นั้น AI จะส่งผลอย่างมากและชัดเจนในช่วงปี 2023 เนื่องจาก World Economic Forum ได้วิเคราะห์ว่าเป็นช่วงเวลาที่ Big data จะถึงจุดทะยาน (Tipping point) ในปีดังกล่าว และจะส่งผลกระทบในการพลิกผันรูปแบบอุตสาหกรรมต่างๆ ในปีที่ AI และ Big data ทะยานขึ้นพร้อมกันจนเกิดโมเมนตัมที่สุดในช่วงปี 2025 นั่นเอง
ในปัจจุบัน บริษัทที่มีฐานะที่ถูกยกขึ้นมาว่าเป็น Elite Tech companies ระดับโลก เช่น Google, Facebook ก็ได้เริ่มแข่งขันกันอย่างรุนแรงด้วยการออกผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เชื่อมโยงอุปกรณ์อัจฉริยะเข้ากับแพลตฟอร์มของพวกเขาโดยใช้ AI จนทำให้อุตสาหกรรม smartphone ต้องตะลึงที่ Google พยายามคิดค้น smartphone ที่เชื่อมต่อกับอัลกอริทึม AI เข้ากับ Big data ของ Google บนอินเทอร์เน็ต จนทำให้บริษัท smartphone ชั้นนำอาจจะถูก disrupt ด้วยบริษัท social meida platform จนเราอาจจะได้เห็นเหตุการณ์คล้ายๆ ที่ NOKIA หายไปจากตลาดอย่างรวดเร็วก็เป็นได้
หากจะวิเคราะห์ตามนักอนาคตศาสตร์หลายท่าน เราจะพบว่า AI เมื่อประกอบร่างเข้ากับ Big data ได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น ก็จะทำให้ขีดความสามารถของมันไปกระทบกับการแพร่ภาพและเสียง (Broadcasting) ในรูปแบบที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน จนอาจทำให้เราได้เห็นเหตุการณ์พลิกผันในอุตสาหกรรม media ครั้งใหญ่ คล้ายๆ กับอุตสาหกรรมหนังสือพิมพ์ (กระดาษ) ในสหรัฐอเมริกา ที่ต้องยุติการทำธุรกิจในระดับ mass market ในปี 2014 รวมไปถึงกรณีล้มละลายของ KODAK ในปี 2013 ซึ่งเป็นผลมาจากการปรากฏตัวของ Google และ Facebook ภายในเวลาไม่กี่ปีเท่านั้น เพราะผู้บริโภคได้เปลี่ยนพฤติกรรมจากการอ่านหนังสือพิมพ์และการบันทึกภาพเพื่อความทรงจำด้วยฟิล์ม ไปเป็นการแชร์ประสบการณ์ด้วยการใช้ smartphone ถ่ายรูปอัพขึ้นบน social media แทน
ถึงแม้ว่าจะเป็นการทำลายล้างอย่างสร้างสรรค์ (Creative destruction) แต่มันก็สร้างความเจ็บปวดให้กับผู้ประกอบกิจการในอุตสาหกรรมรูปแบบเดิม และมันจะยังคงดำเนินต่อไปตราบใดที่เทคโนโลยียังไม่หยุดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
จากการวิเคราะห์และการคาดการณ์จากสำนักวิจัยหลายสำนักก็สามารถสรุปได้ว่า อุตสาหกรรมสื่อและโทรคมนาคมจะถูกพลิกโฉมอย่างที่ไม่เหลือรูปแบบเดิม ประมาณช่วงปี 2023-2025 (หลังจากการประกอบร่างของAI และ Big data สำเร็จ) ตามมาด้วยอุตสาหกรรมการเงินการธนาคารและค้าปลีกในช่วงปี 2025 (หลังจากการประกอบร่าง ระหว่าง AI, Big data และ Blockchain สำเร็จ) ไปจนถึงอุตสาหกรรมพลังงานในปี 2030 (หลังจากการประกอบร่างระหว่าง AI, Big data, Blockchain และ Smart material สำเร็จ) ซึ่งหลังจากปี 2030 นั้น คือภาพจริงของการอพยพจากอุตสาหกรรมเก่าเข้าสู่ยุค Industry 4.0 อย่างสมบูรณ์แบบ นั่นเอง
Reference
http://www3.weforum.org/docs/WEF_GAC15_Technological_Tipping_Points_report_2015.pdf
พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ
กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
ประวัติ: http://www.xn--42cf0a8cxa3ai5ple.com/?p=165
9 ตุลาคม 2560
www.เศรษฐพงค์.com