ณ งาน Dell World ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับดัชนีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในทั่วโลก (GTAI – Global Technology Adoption Index) เป็นครั้งแรก โดยเผยถึงสาเหตุแท้จริงที่องค์กรนำระบบรักษาความปลอดภัย รวมถึง คลาวด์ โมบิลิตี้ และบิ๊กดาต้ามาใช้กันในปัจจุบัน ผลการวิจัยตลาดซึ่งได้ทำการสำรวจองค์กรทั่วโลกกว่า 2,000 แห่ง พบว่าการรักษาความปลอดภัยนับเป็นความกังวลใจใหญ่ที่สุดสำหรับการนำคลาวด์ โมบิลิตี้ และบิ๊กดาต้ามาใช้ นอกจากนี้ 97 เปอร์เซ็นต์ขององค์กรที่สำรวจมีการใช้งานหรือวางแผนที่จะใช้คลาวด์ โดยเกือบครึ่งได้ทำการติดตั้งกลยุทธ์ด้านโมบิลิตี้ ส่วนบิ๊กดาต้ากลับตามมาอย่างช้าๆ เนื่องจากเกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ขององค์กรที่สำรวจยังไม่รู้ว่าจะเอาข้อมูลเชิงลึกได้อย่างไร
“เรารู้ว่าทั้งระบบรักษาความปลอดภัย คลาวด์ โมบิลิตี้ และบิ๊กดาต้า เป็นสิ่งที่ถูกจัดลำดับความสำคัญไว้สูงสุดในเรื่องไอทีสำหรับทุกอุตสาหกรรม แต่เราต้องเข้าใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในความเป็นจริงซึ่งเป็นในเชิงปฏิบัติว่าบริษัทเหล่านี้กำลังใช้เทคโนโลยีเหล่านี้กันอย่างไรบ้าง และถ้าจะมีอะไรที่กีดกันไม่ให้องค์กรเหล่านี้ปลดปล่อยศักยภาพได้อย่างเต็มที่” คาเรน ควินทอส ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของเดลล์ กล่าว “งานวิจัยชิ้นนี้ ตัดสิ่งชวนเชื่อออกไปและให้โร๊ดแมปที่ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าเดลล์สามารถช่วยให้ลูกค้าเติบโตก้าวหน้าได้อย่างไร”
ความกังวลเรื่องความปลอดภัยกำลังกลายเป็นอุปสรรคอันยิ่งใหญ่
จากดัชนีการนำเทคโนโลยีมาใช้ทั่วโลก พบว่าผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอทียังคงพิจารณาว่าความปลอดภัยเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการขยับขยายไปใช้เทคโนโลยีโมบิลิตี้ (44 เปอร์เซ็นต์) รวมถึงการใช้คลาวด์ คอมพิวติ้ง (52 เปอร์เซ็นต์) และการใช้บิ๊กดาต้า (35 เปอร์เซ็นต์) ในขณะที่ความกังวลใจเรื่องความปลอดภัยเป็นตัวเหนี่ยวรั้งไม่ให้องค์กรลงทุนเทคโนโลยีหลัก การขาดข้อมูลเรื่องการรักษาความปลอดภัยที่พร้อมมือก็เหมือนเป็นการเหนี่ยวรั้ง ทำให้องค์กรไม่มีความพร้อมในระหว่างที่เกิดช่องโหว่ความปลอดภัยได้เช่นกัน มีเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ตอบการสำรวจที่กล่าวว่าตนมีข้อมูลที่ถูกต้องไว้ช่วยตัดสินใจเกี่ยวกับความเสี่ยง และมีเพียงหนึ่งในสี่ขององค์กรที่สำรวจเท่านั้นที่มีแผนงานรองรับช่องโหว่ความปลอดภัยทุกรูปแบบ
สาระสำคัญอื่นๆ จากผลสำรวจเรื่องความปลอดภัยที่ได้จากดัชนีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในทั่วโลก มีดังต่อไปนี้
- ทรัพยากรด้านการรักษาความปลอดภัย โดยหลักๆ แล้วจะถูกใช้ไปในการป้องกันแฮกเกอร์ (43 เปอร์เซ็นต์) รวมถึงการยึดมั่นในเรื่องของการปฏิบัติตามกฏระเบียบที่กำหนด (37 เปอร์เซ็นต์)
- มีเพียง 39 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีทีมงานที่รับรู้อย่างเต็มเปี่ยมถึงกฏระเบียบด้านการรักษาความปลอดภัยภายในองค์กรของตน
- มีเพียง 13 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ที่รับการสำรวจที่ใช้ระบบรักษาความปลอดภัยเพื่อให้สามารถทำสิ่งใหม่ๆ ได้ ในขณะที่ 18 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ใช้ระบบรักษาความปลอดภัยเป็นข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน
การปฏิวัติไปสู่คลาวด์ อยู่ที่นี่
ผลสำรวจเกี่ยวกับดัชนีการนำเทคโนโลยีมาใช้ทั่วโลก พบว่า ผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอทีเกือบทุกคนที่ร่วมการสำรวจ ต่างกล่าวว่าบริษัทของตนใช้ หรือมีแผนจะใช้โซลูชันคลาวด์ มีเพียง 3 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามเท่านั้น ที่ไม่ได้วางแผนว่าจะใช้โซลูชันคลาวด์ นอกจากนี้ ผลสำรวจยังแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ร่วมอย่างชัดเจนระหว่างการใช้คลาวด์และการเติบโตของบริษัท ในกลุ่มบริษัทที่ใช้คลาวด์ 72 เปอร์เซ็นต์ ขององค์กรที่เข้ารับการสำรวจมีการเติบโต 6 เปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่านั้น ภายในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา มีเพียง 4 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นที่ไม่รู้สึกถึงการเติบโตหรือมีผลในเชิงลบ เรื่องนี้ นับว่าตรงกันข้ามอย่างชัดเจนกับบริษัทที่ไม่ได้ใช้คลาวด์ เพราะมีเพียงแค่ 24 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่มีอัตราเติบโต 6 เปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่านั้น และ 37 เปอร์เซ็นต์ ที่ไม่รู้สึกถึงการเติบโตหรือเติบโตในเชิงลบ
ประโยชน์ทางธุรกิจที่ได้จากคลาวด์ คอมพิวติ้ง มีมากกว่านั้นมากเมื่อองค์กรธุรกิจใช้โซลูชันคลาวด์มากกว่าหนึ่งประเภท ตัวอย่างก็คือ องค์กรธุรกิจที่ใช้โซลูชันคลาวด์ 3 ประเภทหรือมากกว่า สามารถเห็นถึงผลิตภาพของพนักงานที่เพิ่มขึ้น 15 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับองค์กรที่ใช้โซลูชันคลาวด์ประเภทเดียว
แม้ว่าอัตราการใช้คลาวด์ และประโยชน์ที่ได้รับมีมากดังกล่าวข้างต้น ก็ยังมีความท้าทายอันโดดเด่นที่ต้องเผชิญในเวลาที่นำคลาวด์ คอมพิวติ้งมาติดตั้งเพื่อใช้งาน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องที่มาจากการขาดความเข้าใจและไม่มีประสบการณ์รวมถึงความกังวลเรื่องความปลอดภัย มีองค์กรที่ต้องพึ่งพาข้อมูลเกี่ยวกับคลาวด์จากหน่วยงานอื่นอยู่อย่างมาก 58 เปอร์เซ็นต์ขององค์กรที่ได้ทำการสำรวจ หันมาใช้บริการจากพันธมิตรด้านไอที และอีก 45 เปอร์เซ็นต์ อาศัยข้อมูลจากเว็บไซต์ของผู้จำหน่าย การที่ประสบการณ์การใช้คลาวด์ คอมพิวติ้ง ขององค์กรถูกจำกัด นับเป็นหนึ่งในสามของสาเหตุหลัก (33 เปอร์เซ็นต์) ที่ยังไม่ได้ติดตั้งคลาวด์ และระบบรักษาความปลอดภัยดังที่กล่าวไปข้างต้น ก็เป็นหนึ่งในความกังวลหลัก อยู่ที่ 52 เปอร์เซ็นต์
ผลการสำรวจเกี่ยวกับคลาวด์ในประเด็นอื่นๆ ที่สำคัญ ยังรวมถึงเรื่องต่อไปนี้
- จากการสำรวจ มีองค์กรที่ได้รับประโยชน์จากการใช้คลาวด์ใน 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ มีการกระจายการใช้ทรัพยากรด้านไอทีที่ดีขึ้น (44 เปอร์เซ็นต์) ประหยัดค่าใช้จ่าย (42 เปอร์เซ็นต์) และได้รับประสิทธิผล (40 เปอร์เซ็นต์)
- มีจำนวนองค์กรที่ใช้คลาวด์ประเภทใดหนึ่งอยู่ 50 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่อีก 26 เปอร์เซ็นต์ ใช้มากกว่า 2 ประเภท ส่วนองค์กรที่ใช้คลาวด์หลายประเภทจะได้รับประโยชน์มากกว่าคนอื่น
การนำโมบิลิตี้มาใช้ ยังน้อยอยู่ แม้จะเห็นถึงประโยชน์ที่ได้รับอย่างชัดเจน
ผลสำรวจจากการจัดทำดัชนีการนำเทคโนโลยีมาใช้ทั่วโลก แสดงให้เห็นว่ามีองค์กรที่ได้รับประโยชน์ในทันทีที่ใช้ Mobile Workforce ทั้งในแง่ของประสิทธิภาพการทำงานและผลิตภาพของพนักงาน ทั้งนี้ 41 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบมองว่าประโยชน์ที่ได้รับสูงสุดจากการใช้โมบิลิตี้คือเรื่องประสิทธิภาพ ในขณะที่อีก 32 เปอร์เซ็นต์ มองเรื่องผลิตภาพของพนักงาน ทั้งนี้เนื่องจากมีการใช้โมบายกันแพร่หลายในประเทศกำลังพัฒนา ทำให้องค์กรธุรกิจในประเทศเหล่านั้นมีอัตราการนำนโยบาย BYOD (Bring-Your-Own Device) หรือการให้พนักงานเอาอุปกรณ์ส่วนตัวมาใช้ในงานอย่างเป็นทางการ สูงกว่าที่อื่น (34 เปอร์เซ็นต์ ใน ลาติน อเมริกา และ 37 เปอร์เซ็นต์ในเอเชียแปซิฟิก เทียบกับอเมริกาเหนือที่มีอัตราการใช้ BYOD อยู่ที่ 30 เปอร์เซ็นต์ และ 20 เปอร์เซ็นต์ในยุโรป/ ตะวันออกกลาง/ แอฟริกา)
แม้ว่าจะมีโอกาสที่เห็นได้ชัดเจนจากกลยุทธ์ด้านโมบิลิตี้ แต่ก็ยังมีความท้าทายในเรื่องความปลอดภัยซึ่งนับเป็นเรื่องหลัก ครึ่งหนึ่งของผู้ตอบการสำรวจชี้ว่า “ความเสี่ยงจากช่องโหว่ข้อมูลในเวลาที่ทำอุปกรณ์หายและเครือข่ายไร้สายไม่สามารถให้การปกป้องได้ครอบคลุม” นั้นเป็นความเสี่ยงด้านโมบิลิตี้ที่สูงสุด และ 44 เปอร์เซ็นต์ ก็จัดให้ “ความกลัวเรื่องช่องโหว่ด้านการรักษาความปลอดภัย” เป็นอุปสรรคที่สำคัญที่สุดในการขยายการใช้งานโมบายภายในองค์กร การนำอุปกรณ์ของบริษัทไปใช้อย่างไม่เหมาะสมก็ถูกจัดให้เป็นประเด็นหลักเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยโมบาย ผลการรายงานแสดงให้เห็นว่าการมีนโยบายด้าน BYOD อย่างเป็นทางการเชื่อมโยงอย่างชัดเจนกับความสำเร็จเรื่องโมบิลิตี้ อย่างไรก็ตามมีผู้ตอบเพียง 32 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มีนโยบายดังกล่าว
ผลการสำรวจที่น่าสนใจอื่นๆ ในเรื่องโมบิลิตี้ ได้แก่
- ในขณะที่การเข้าถึงฐานข้อมูลบนคลาวด์ (76 เปอร์เซ็นต์) อีเมล (81 เปอร์เซ็นต์) และอินทราเน็ต (70 เปอร์เซ็นต์) เป็นเรื่องที่ถูกรวมไว้ในแผนงานด้าน BYOD ส่วนใหญ่ แต่โปรโตคอลเรื่องการปลดระวางสินทรัพย์หรือหมดอายุการใช้งานถูกรวมไว้ในแผนคิดเป็นอัตราเพียงแค่ 55 เปอร์เซ็นต์
- นอกเหนือจากเรื่องการรักษาความปลอดภัย เรื่องของค่าใช้จ่าย (40 เปอร์เซ็นต์) และความซับซ้อนในการจัดการแพลตฟอร์มและอุปกรณ์ที่หลากหลาย (36 เปอร์เซ็นต์) ถูกมองว่าเป็นความเสี่ยงสูงสุดในการใช้โมบิลิตี้
บิ๊กดาต้า กับศักยภาพอันมหาศาล
จากผลสำรวจ.. พบสิ่งที่เหมือนกัน นั่นคือองค์กรไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงกับบิ๊กดาต้า ในขณะที่ 61 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบการสำรวจทั่วโลกกล่าวว่าองค์กรตัวเองมีบิ๊กดาต้าแต่ไม่สามารถนำมาวิเคราะห์ได้ มีแค่ 39 เปอร์เซ็นต์ ที่เข้าใจว่าจะดึงคุณค่าจากบิ๊กดาต้ามาใช้ต่ออย่างไร นอกจากนี้ ผู้ตอบหลายรายยังชี้ประเด็นว่าบิ๊กดาต้าเป็นประเด็นที่กดดันน้อยกว่าเรื่องการรักษาความปลอดภัย รวมถึงคลาวด์และโมบิลิตี้
บิ๊กดาต้าแสดงให้เห็นถึงโอกาสในการแข่งขันที่สำคัญ องค์กรที่สามารถดึงเอาข้อมูลทางธุรกิจในเชิงลึกมาจากบิ๊กดาต้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าองค์กรที่ทำไม่ได้ โดยเฉลี่ยอัตราเติบโตอยู่ที่สามปี (14 เปอร์เซ็นต์) สำหรับองค์กรที่นำบิ๊กดาต้ามาใช้ได้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดก็จะเติบโตกว่าองค์กรที่ใช้บิ๊กดาต้าได้เกิดประสิทธิภาพน้อยที่สุด (8 เปอร์เซ็นต์) ถึงสองเท่า
ในขณะที่บิ๊กดาต้าได้พิสูจน์ให้เห็นถึงผลประโยชน์ในเชิงการตลาด ค่าใช้จ่ายด้านระบบโครงสร้างพื้นฐาน (35 เปอร์เซ็นต์) และระบบรักษาความปลอดภัย (35 เปอร์เซ็นต์) ก็ดูจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการติดตั้งเพื่อใช้บิ๊กดาต้า ผู้ตอบการสำรวจยังแจงว่าค่าใช้จ่ายในการวิเคราะห์และในส่วนปฏิบัติการ (34 เปอร์เซ็นต์) การขาดการสนับสนุนจากผู้บริหาร (22 เปอร์เซ็นต์) และขาดความชำนาญด้านเทคนิค (21 เปอร์เซ็นต์) ยังเป็นอุปสรรคต่อกลยุทธ์เรื่องบิ๊กดาต้า และเมื่อพูดถึงความกังวลเรื่องความปลอดภัย องค์กรส่วนใหญ่จึงมีการใช้ไพรเวทคลาวด์ (43 เปอร์เซ็นต์) หรือใช้เซิร์ฟเวอร์แบบเดิมๆ (24 เปอร์เซ็นต์) แทนการใช้พับลิคคลาวด์ (11 เปอร์เซ็นต์) ในการจัดเก็บบิ๊กดาต้า
ผลการสำรวจที่น่าสนใจอื่นๆ เกี่ยวกับบิ๊กดาต้า ได้แก่
- ส่วนปฏิบัติการมีการสร้างประเภทชุดข้อมูลที่เหมือนกันเป็นส่วนใหญ่ โดย 67 เปอร์เซ็นต์ ขององค์กรตอบว่ามีการใช้ข้อมูลในส่วนปฏิบัติการได้แก่ ซีอาร์เอ็ม (47 เปอร์เซ็นต์) การขาย (39 เปอร์เซ็นต์) และโซเชียล (34 เปอร์เซ็นต์) เพื่อสร้างเป็นชุดข้อมูลอื่นๆ ที่เหมือนกัน
- องค์กรโดยเฉลี่ย รู้สึกว่าได้ข้อมูลเชิงลึกที่มีประโยชน์เพียง 53 เปอร์เซ็นต์ จากข้อมูลที่มีอยู่
- อุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมการเงิน (57 เปอร์เซ็นต์) รวมถึงเฮล์ธแคร์ และโทรคม (ทั้งสองอุตสาหกรรมนี้รวมกันคิดเป็น 56 เปอร์เซ็นต์) มีแนวโน้มว่าจะได้รับประโยชน์จากบิ๊กดาต้ามากกว่าอุตสาหกรรมอื่น
*หมายเหตุ
การพัฒนาดัชนีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในทั่วโลก หรือ GTAI (Global Technology Adoption Index) เกิดขึ้นจากการที่เดลล์ว่าจ้างให้บริษัท TNS เป็นผู้จัดทำการสำรวจในเชิงปริมาณ พร้อมการสัมภาษณ์ในเชิงคุณภาพกับผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจด้านไอทีทั่วโลก โดยมีผู้เข้าร่วมการสำรวจที่เป็นบุคลากรขององค์กรเอกชนและองค์กรมหาชนขนาดกลางจำนวน 2,038 คนจาก 11 ภูมิภาคทั่วโลก และข้ามอุตสาหกรรม เพื่อให้เกิดการวิเคราะห์ในเชิงลึกลงในระดับอุตสาหกรรมหรือภูมิภาค การสำรวจจัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม ถึงวันที่ 2 กันยายน 2557 และมีค่าความเชื่อมั่นของการสำรวจ (Confidence Interval) +/-2.2 เปอร์เซ็นต์ ผู้ที่สนใจผลการสำรวจในเชิงลึก สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.dell.com/techadoption