จากที่มีการวิจารณ์กรณีที่ กสทช.มีมติ เห็นชอบร่างประกาศ กสทช. เรื่องมาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการโทรคมนาคมในกรณีสิ้นสุดอายุการอนุญาตสัมปทานหรือสัญญาประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ… และให้มีการจัดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะต่อร่างประกาศดังกล่าวตามกฎหมาย ว่าไม่สามารถทำได้ เนื่องจากไม่มีฐานอำนาจทางกฎหมายรองรับ เป็นการขยายระยะเวลาสัมปทานจึงควรที่จะเร่งให้มีการประมูลคลื่นความถี่ และตามที่มีผู้สงสัยในการดำเนิ
พันเอก ดร. เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ประธานกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ภายใต้ กสทช.ได้ให้คำชี้แจง ว่า กทค. ได้มีการดำเนินการและเตรี
นอกจากนี้ กสทช. โดย กทค จะต้องไม่ก้าวล่วงและก่อให้เกิ
ทั้งนี้ พันเอก ดร.เศรษฐพงค์ ยังกล่าวว่า การจัดการประมูลบนคลื่น 1800 MHz จะต้องกำหนดให้สอดคล้องกั
กฎหมายมิได้กำหนดว่า จะต้องดำเนินการก่อนหรือหลังวั
และมีการให้บริการที่ต่อเนื่อง ไม่หยุดชะงักจนเป็นผลเสียต่
อย่างไรก็ตามคณะกรรมการกิ
กทค.จะยึดหลักกฎหมาย และหลักปฎิบัติที่ดีที่สุด (Best Practices) ในมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรั
โดย กทค.ได้มีความร่วมมือกั
ประธาน กทค. กล่าวสรุปว่า “คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม จะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ที่กฎหมายกำหนดไว้ และยึดหลักปฏิบัติ สร้างความสมดุลย์ให้เกิดต่
สำหรับข้อวิจารณ์ว่า กสทช.ไม่มีฐานอำนาจทางกฎหมายที่จะออกประกาศกำหนดมาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการ กรณีสัมปทานคลื่น 1800 MHz สิ้นสุดและมีการโต้แย้งว่าการออกประกาศนี้เป็นการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ซึ่งต้องทำโดยวิธีการประมูลนั้น
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการ กสทช.ด้านกฎหมาย ได้ชี้แจงว่า เรื่องนี้มีความเห็นที่สอดคล้องกันทั้งในส่วนของกลุ่มงานกฎหมายโทรคมนาคม สำนักงานกสทช. และคณะทำงานกำหนดมาตรการรองรับผลกระทบอันเกิดจากการสิ้นสุดสัญญาสัมปทานการใช้คลื่นความถี่ 1800 MHz ที่ว่ามาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการตามร่างประกาศฯเป็นการกำกับดูแลเพื่อให้ผู้ใช้บริการไม่ได้รับผลกระทบจากการสิ้นสุดการให้บริการโทรคมนาคม จึงไม่ใช่การจัดสรรคลื่นความถี่ใหม่ที่จะต้องทำโดยวิธีประมูลคลื่นความถี่ตามมาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 และมิใช่เป็นการขยายอายุสัมปทาน เนื่องจากเมื่อสัมปทานสิ้นสุดคลื่นความถี่จะต้องตกมาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกสทช. เพื่อรอการจัดสรรตามกฎหมายต่อไป ซึ่งคณะทำงาน ฯ บอร์ด กทค. และบอร์ดกสทช. มีความเห็นตรงกันในเหตุผลและความจำเป็นในการออกประกาศฯ ตลอดจนเห็นตรงกันว่า กสทช. มีอำนาจตามกฎหมายในการออกประกาศฯ กรณีนี้จึงไม่ได้เป็นเรื่องที่มีข้อสงสัยว่ามีฐานอำนาจทางกฎหมายที่จะออกประกาศฯได้หรือไม่ ที่สุดแล้วบอร์ดกทค.เสียงข้างมาก เห็นว่าต้องมีการออกประกาศฯดังกล่าวเพื่อไม่ให้ประชาชนต้องเดือดร้อนจากบริการสาธารณะทางการสื่อสารต้องหยุดชะงักลง หรือที่เรียกกันว่าซิมดับซึ่งเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ เพราะนั่นหมายถึงว่าผู้บริโภคจำนวน 17 ล้านเลขหมาย ที่ใช้บริการในคลื่น 1800 MHz ต้องตกเป็นตัวประกันโดยได้รับผลกระทบและอาจนำไปสู่ความโกลาหลต่อการติดต่อสื่อสารในสังคมไทยอย่างแน่นอน นอกจากนี้ข้อเสนอของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับร่างประกาศฯ ที่ให้เร่งโอนย้ายแทนที่จะออกประกาศฯ ก็เป็นข้อเสนอที่ถูกมองว่าขาดมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากแม้จะมีการเร่งโอนย้ายโดยเพิ่มขีดความสามารถในระบบโอนย้าย ก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะยังมีผู้ใช้บริการค้างอยู่ในระบบ
“การดำเนินการของ กสทช. โดยการออกประกาศกำหนดมาตรการคุ้มครองฯควบคู่ไปกับการใช้ มาตรการอื่นๆ จึงแสดงให้เห็นชัดเจนว่า กสทช. ได้พยายามดำเนินการอย่างเต็มที่ในการปกป้องผู้บริโภคไม่ให้ตกเป็นตัวประกันในการเปลี่ยนผ่านจากระบบสัมปทานสู่ระบบใบอนุญาต และกสทช.จะมุ่งมั่นดำเนินการอย่างเต็มที่ต่อไปเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับการคุ้มครองและได้รับบริการโทรคมนาคมที่ดีขึ้น” ดร.สุทธิพล กล่าวทิ้งท้าย.