ถ้าเกิดไม่อยากใช้ Android แล้ว อยากไปใช้ iPhone บ้าง จะต้องเตรียมตัวเตรียมใจยังไง … เป็นช่วงที่เหมาะมาก เพราะ Apple เริ่มขายเมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมาในต่างประเทศ ในขณะที่ไทยก็มีข่าวลือว่าอาจมาไทยเร็วกว่ากำหนดด้วย รวมถึงตอนนี้ก็ เริ่มทะยอยอัพเกรดเป็น iOS6 กันแล้ว
( ขอบคุณบทความจาก คุณคงเดช กี่สุขพันธ์ (@kafaak) จากบล๊อก kafaakblog )
จะเป็นสาวก ปวดหัวแค่เลือกว่า จะเลือก iPhone 4/iPhone 4S หรือ iPhone 5 ดี
การจะเลือกซื้อ iPhone ซักเครื่อง ไม่ใช่ว่าจะไม่ปวดหัวเลยซะที่ไหนล่ะ เพราะยังไงๆ ก็ถามกันอยู่ดีว่า เอ๊ะ แล้วถ้าจะซื้อ iPhone ซักเครื่อง จะเลือก iPhone อะไรดี ระหว่าง iPhone 4, iPhone 4S หรือ iPhone 5?!? อันนี้ตอบให้ได้ง่ายมากครับ โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มดังนี้
- งบน้อย แนะนำว่าจงไปใช้ iPhone 4 รุ่น 8GB ตอนนี้ราคาลงมาเหลือ 14,500 บาทเท่านั้น … จริงๆ แล้ว iPhone 4 ก็ยังถือว่าดีอยู่ กล้อง iSight 5 ล้านพิกเซล ฟีเจอร์หลักๆ หลายๆ อย่าง ก็รองรับดีอยู่ … ที่จะไม่รองรับ ก็เป็น Maps Flyover, Turn-by-Turn Navigation (ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะในไทยยังใช้ไม่ได้อยู่ดี), FaceTime ผ่าน 3G และ Hearing Aid Support ครับ
- ชอบลอง Major Upgrade เป็นคนแรก ให้ไปใช้ iPhone 5 เพราะนี่คือ Major Upgrade ของ iPhone ครับ เปลี่ยนทั้ง CPU/GPU เปลี่ยนทั้งจอแสดงผล และดีไซน์ก็เปลี่ยนใหม่ด้วย แต่ต้องทำใจหน่อย หากเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา … เช่น ปัญหา Antennagate ที่เวลาจับ iPhone 4 ในบางท่วงท่า จะทำให้สัญญาณมือถือหาย (โชคดีที่ประเทศไทยเราปล่อยคลื่นมาถือแรง เลยไม่ค่อยเจอปัญหาแบบนี้) … งวดนี้ยังไม่รู้ว่า iPhone 5 จะมีปัญหาอะไรใหญ่ๆ ไหม
- ไม่รีบ เน้นความสมบูรณ์ จงรอรุ่น Minor Upgrade ปีหน้า จะเรียก iPhone 5S รึเปล่าไม่รู้ แต่รอปีหน้า ปัญหาอะไรที่อยู่ใน iPhone 5 จะได้รับการปรับปรุงแก้ไข … รุ่น Minor Upgrade นี่ผมเรียกว่า รุ่นใช้แล้วสบายใจ
เรื่องความถี่ก็ไม่ต้องไปกังวล เพราะทั้ง iPhone 4, iPhone 4S และ iPhone 5 ต่างก็รองรับทั้ง 2G และ 3G ของทุกค่ายในบ้านเราอยู่แล้ว … เรื่อง 4G ไม่ต้องไปคิดถึงมัน ประเทศไทยเราตอนนี้ เอา 3G บนคลื่น 2100MHz ให้รอดก่อน….
ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งพา iCloud หากยังคิดว่า Google Apps ยังดีอยู่
เอาง่ายๆ อีเมล์, Contact และ Calendar ที่คุณใช้บนบริการของ Google นั้น ก็สามารถ Sync ข้อมูลกับ iPhone ได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องมีลูกเล่นนิดหน่อย คือ บางคนคิดว่าจะเพิ่ม Account ของ Gmail เข้าไป ต้องไปเลือกเป็น Gmail แต่นั่นจะทำให้คุณไม่สามารถ Sync Contact ได้ครับ
วิธีที่ถูกคือ ไปที่ Settings > Mail, Contacts, Calendars > Add Account… แล้วเลือกเป็น Microsoft Exchange ครับ
จากนั้น ใส่ Email Address ของเรา (Gmail) พร้อม Username และ Password … Domain ไม่ต้องใส่ ส่วน Description จะตั้งเป็นอะไรก็ตามใจเรา … ใส่เรียบร้อยแล้วแตะที่ปุ่ม Next
ระบบจะพยายามเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ แต่ก็จะเชื่อมต่อไม่ได้ แล้วมาถามหา Server ว่าอยู่ที่ไหน ให้ระบุไปว่า m.google.com ครับ … ใส่เรียบร้อยแล้วก็แตะปุ่ม Next
เท่านี้ เราก็สามารถเชื่อมต่อกับบริการของ Google ได้ทั้งหมด ทั้ง Email, Contact และ Calendar เลยครับ … ถ้าคุณไม่ต้องการ Sync Contacts ละก็ ไม่ต้องมาทำขั้นตอนพวกนี้หรอกนะ … แค่ Add Account… เป็น Gmail ตามปกติก็พอแล้ว (การเพิ่มแบบนั้น จะ Sync Email กับ Calendar ได้ครับ)
ส่วนข้อมูลเอกสารใน Google Drive นั้น คุณสามารถดาวน์โหลด Google Drive App จาก App Store ไปใช้ก็ได้ หรือถ้าคุณมองว่าการแก้ไขไฟล์เอกสารผ่านทาง Mobile Web มันไม่เวิร์คเท่าไหร่ ก็ยอมควักกระเป๋าจ่ายซัก $14.99 เพื่อซื้อ QuickOffice Pro หรือ $9.99 เพื่อซื้อ Smart Office 2 ก็ได้ ทั้งสอง สามารถเชื่อมต่อกับ Google Drive และแก้ไขเอกสารบนนั้นได้
ถ้าคุณยังยึดติดกับ Google Apps ละก็ ข้อดีคือ มันจะใช้ได้ทั้งบน PC และ Mac และเมื่อไหร่เบื่อที่จะเป็นสาวก ก็สามารถกลับไป Android ได้สะดวกมากๆ
แต่ถ้าคุณคิดว่า ไหนๆ ก็ใช้ iPhone แล้ว มันต้อง iCloud สิ
หากคุณไม่อยากหลงเหลือกลิ่นอายของหุ่นเขียวเลย … คุณต้องการไปใช้ iCloud โดยสมบูรณ์ ทั้งอีเมล์, Contact, Calendar และ เอกสารต่างๆ ก็จะต้องผ่านกระบวนการวุ่นวายหน่อย แนะนำ ทำบนเครื่อง Mac มันจะง่ายขึ้นหน่อยครับ
เริ่มต้นที่ Gmail > iCloud
ถ้าคุณ OK กับการเริ่มอีเมล์ใหม่เลย ก็แค่ Set iCloud Mail บน iPhone ก็เป็นอันจบครับ แต่ถ้าคุณอยากได้เมล์ทุกฉบับบน Gmail มาไว้ในนี้ ก่อนอื่น เช็คให้ดีก่อนว่าจำนวนอีเมล์ของคุณมีมากแค่ไหน (เพราะคุณจะเคยตัวกับการใช้ Gmail แบบที่ไม่ต้องลบอีเมล์เลย ดังนั้นบางคนอาจจะมี Mailbox ใหญ่ระดับ GB เลยนะ แล้วอย่าลืมว่า iCloud มันให้เนื้อที่มา 5GB ไว้สำหรับทำทุกอย่างเลยนะเออ
ถ้าเช็คแล้วพบว่า เนื้อที่บน iCloud ยังเหลือๆ ละก็ คุณควรไปหาโปรแกรมอีเมล์ที่รองรับโปรโตคอล IMAP มาติดตั้งครับ (บน Windows ก็คือ Outlook Express ส่วนบน Mac OSX ก็ใช้ Mail.app เลย) จากนั้นก็ทำตามขั้นตอนนี้ (ผมไม่ขอลง Screenshot เพราะมันแตกต่างไประหว่างโปรแกรมอีเมล์แต่ละตัว)
1. ก่อนอื่น เมล์ใดใน Gmail ไม่มี Label อยู่ และไม่ได้อยู่ใน Inbox แนะนำให้ไปสร้าง Label ให้กับมันเสียก่อน เพราะไม่งั้นเราจะ Copy เมล์พวกนี้ไม่ได้
2. เซ็ตอัพ Gmail และ iCloud Mail บนโปรแกรมอีเมล์ (ถ้าใช้ Mac OSX ก็จะง่าย แค่ไปที่ System Preferences > iCloud แล้วลงชื่อเข้าใช้ด้วย Apple ID จากนั้นก็สร้างบัญชีอีเมล์ใหม่ ก็เรียบร้อย)
3. จากนั้นให้โปรแกรมอีเมล์ดาวน์โหลดเมล์ทั้งหมดของเรามา … ตรงนี้จะลำบากนิดนึง เพราะใน Gmail เราจะสามารถตั้งเมล์ฉบับนึงให้อยู่ใน Label หลายๆ อันได้ แต่เวลาโหลดเมล์มาลงในโปรแกรมอีเมล์บางตัว (เช่น Mail.app ของ Mac OSX) มันจะมอง Label เป็น Folder และอีเมล์ที่อยู่ในหลายๆ Label ก็จะไปอยู่ในหลายๆ Folder ด้วย แต่จะถือเป็นเมล์คนละฉบับเลย … ดังนั้น คุณต้องไปปรับเมล์ใน Gmail ซะใหม่ ให้แต่ละฉบับมี Label เดียวเท่านั้น (ซึ่งจะยุ่งยากมาก)
4. ทีนี้ได้เวลาย้ายอีเมล์ละครับ วิธีการก็คือ ไป Copy โฟลเดอร์ Inbox (และโฟลเดอร์อื่นๆ) ของ Gmail มาที่ iCloud … เวลาจะ Copy โฟลเดอร์อื่นๆ ต้องไปสร้างโฟลเดอร์ใน iCloud รอไว้ก่อนด้วย
ดูเหมือนง่าย มี 4 ขั้นตอน แต่ว่าจริงๆ แล้ว มันยุ่งยากมากๆ
ตามด้วยย้าย Google Calendar ไป iCal
อันนี้ต้องทำบนเครื่อง Mac สถานเดียวครับ เพราะต้องใช้โปรแกรม iCal ที่อยู่บน Mac OSX … แต่การย้าย Calendar มันง่ายกว่าอีเมล์เยอะครับ
1. แค่เปิดไปที่เว็บ Google Calendar ก่อน จากนั้นไปที่ Settings > Calendars
2. แล้วเลือก Export Calendars มันจะทำการดาวน์โหลดตารางนัดหมายบนปฏิทินมาเป็นไฟล์ .zip
3. จากนั้นเราก็แตกไฟล์ออกมา
4. แล้วเปิดโปรแกรม iCal จากนั้นไปที่ File > Import แล้วก็เลือกไฟล์ที่เราแตกออกมา เท่านั้นก็เรียบร้อย
ถ้าเรามีปฏิทินบน Google Calendar ที่ต้องการย้ายหลายอัน ก็ทำซ้ำขั้นตอนจนเสร็จหมดนั่นแหละ
จากนั้นก็ย้าย Contacts จาก Google ไป iCloud
การย้าย Contacts ก็ง่ายครับ ขั้นตอนไม่ซับซ้อน ทำแป๊บเดียวก็เสร็จ แต่ก็ต้องใช้เครื่อง Mac นะ … โดยทำตามขั้นตอนดังนี้
1. ไปที่ System Preferences > iCloud จากนั้น เอาเครื่องหมายถูกตรง Contacts ออก
. เปิด Contacts ขึ้นมา แล้วไปที่ Contacts > Preferences > Accounts จากนั้น ทำเครื่องหมายถูกตรง “Synchronize with Google” แล้วล็อกอินด้วย Google Account … ระบบก็จะทำการ Sync Contacts ทั้งหมดมาจาก Google Contacts
3. ทีนี้ก็ถึงเวลาที่จะไปที่ System Preferences > iCloud แล้วทำเครื่องหมายถูกตรงตรง Contacts อีกที ระบบจะถามว่า เราต้องการจะรวมเอา Contacts ที่อยู่บนคอมพิวเตอร์ (หมายถึง Google Contacts ที่เพิ่ง Sync มา เข้ากับ iCloud หรือไม่ … ให้เราเลือกว่า Merge (รวม) เลยครับ
4. จากนั้นระบบจะบอกว่า มันจะทำการปิด Google Sync แล้วนะ ซึ่งเราก็ตอบ OK ไปเลย เพราะเราจะไม่ใช้แล้ว
แค่นี้ก็เรียบร้อยครับ
ทีนี้ก็เหลือแค่ เอาไฟล์ใน Google Drive มาใส่ใน iCloud
หลักการง่ายๆ ครับ ดาวน์โหลดไฟล์จาก Google Docs มา … วิธีง่ายที่สุด คือ การติดตั้ง Google Drive บนเครื่องคอมพิวเตอร์ (จะเป็น Windows หรือ Mac OSX ก็ได้) โดยดาวน์โหลดจากหน้าเว็บของ Google Drive เลย เท่านี้พวกไฟล์ต่างๆ มันก็จะถูกดาวน์โหลดลงมาอยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราแล้ว
จากนั้น ไปที่เว็บ www.icloud.com แล้วล็อกอินด้วย Apple ID ครับ แล้วก็คลิกที่ปุ่ม iWorks
จากนั้น ก็เลือกทีละโปรแกรม คือ Pages, Numbers และ Keynote แล้วอัพโหลดไฟล์เอกสารของเราขึ้นไปครับ เท่านี้ก็จบแล้ว วิธีการอัพโหลดก็ง่าย แค่คลิกแล้วลากไฟล์ไปวางในหน้าเว็บ มันก็จะอัพโหลดเลย หรือจะคลิกที่ไอคอนรูปฟันเฟือง แล้วเลือก Upload Document ก็ได้ครับ
เท่านี้ก็โยกย้ายทุกอย่างใน Google Apps ไปไว้ใน iCloud หมดแล้ว
คิดถึง Google Maps กับ YouTube???
ถ้าคุณยังใช้ iOS5 อยู่ มันก็ยังมี Google Maps กับ YouTube อยู่ครับ แต่ถ้าคุณอัพเกรดไป iOS6 เมื่อไหร่ละก็ โบกมือลา Google Maps และ YouTube ได้เลยครับ เพราะมันไม่มีแล้ว และ Apple ก็มาพร้อมกับ Maps ของตัวเอง ที่จับมือร่วมกับ TomTom ครับ แต่ว่าข้อมูลยังสู้ Google Maps ไม่ได้หลายส่วนเลยทีเดียว
ถ้าคุณยังคิดถึง Google Maps และ YouTube ละก็ คุณมีทางเลือกแบบนี้ครับ
- YouTube นั้น คุณสามารถเลือกเข้าจากหน้าเว็บ YouTube.com ผ่านทาง Safari ก็ได้ ไม่มีปัญหาอะไร แต่หากยังติดอกติดใจกับ App อยู่ ก็ไปดาวน์โหลด YouTube มาจาก App Store ได้ครับ เพียงแต่มันยังไม่มีเวอร์ชันบน iPad นะ … แต่ เอ๊ะ! เรากำลังพูดถึงการย้ายจาก Android Smartphone ไปเป็น iPhone นี่นะ
- Google Maps นั้น ผมเชื่อว่าในอนาคต Google อาจจะปล่อยตัว App ออกมา เพียงแต่ว่าตอนนี้ (ณ เวลาที่ผมเขียนบทความตอนนี้อยู่) ยังไม่มีให้ดาวน์โหลดครับ ดังนั้น คำแนะนำก็คือ ไปใช้จาก maps.google.com ไปพลางๆ ก่อน (เวลาถูกถามว่า ”Safari” Would Like To Use Your Current Location ให้ตอบ OK ครับ เพราะมันต้องการข้อมูลพิกัดของเรา เพื่อใช้แสดงตำแหน่งของเราบน Maps … พอตอบ OK แล้ว มันจะระบุชัดเจนอีกว่า “https://maps.google.com” Would Like To Use Your Current Location อันนี้ก็ตอบ OK อีกเช่นกัน)
แม้ว่าเวอร์ชันเว็บนั้นจะทำอะไรหลายๆ อย่างที่เป็นพื้นฐานได้ครบถ้วน แต่ความเร็วในการทำงานมันสู้เวอร์ชันที่เป็น App ไม่ได้นะครับ (จึงไม่น่าแปลกใจอะไร ที่ Facebook จะออกมายอมรับว่าคิดผิด ที่ทำ App ด้วย HTML5 และได้กลับไปปรับปรุง App ให้เป็น Native App แทน และตอนนี้ Facebook App ก็ทำงานเร็วแล้ว)
การลง App เถื่อนฟรีๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป เมื่อใช้ iPhone
คุณอยู่กับระบบปฏิบัติการ Android คุณดาวน์โหลดโปรแกรมเถื่อนมาจากเว็บไซต์ที่แจก แล้วติดตั้งลงบน Android Smartphone ของคุณได้ฟรีๆ … แต่คุณจะทำแบบนั้นบน iPhone ไม่ได้ ทางเลือกของคุณมี 2 ทางเท่านั้น (ซึ่งผมไม่ขอแนะนำทั้งสองทาง เพราะทางนึงก็เสี่ยงด้าน Security ส่วนอีกทางก็ไม่ถูกลิขสิทธิ์ซะทีเดียว)
- คุณอาจจะเลือกที่จะ Jailbreak เพื่อที่จะได้สามารถติดตั้ง App จากไฟล์ .ipa เองได้ จะได้ไปดาวน์โหลดโปรแกรมเถื่อนมาใช้ฟรีๆ … แต่กรณีนี้เท่ากับคุณเปิดประตูอ้าซ่าให้บุคคลอื่นสามารถเข้าไปทำมิดีมิร้าย iPhone ของคุณได้เต็มที่ หากคุณไม่ระมัดระวังตัวให้ดี นอกจากนี้ พวก App เถื่อนก็อาจจะมี Malware แฝงมาเป็นของแถมให้โดยคุณไม่รู้ตัว … และแม้ว่าสภาคองเกรสของสหรัฐจะบอกว่าการ Jailbreak ไม่ผิดกฎหมาย แต่ App เถื่อนพวกนี้ ละเมิดลิขสิทธิ์ทั้งหมดนะครับ
- หรือคุณอาจจะใช้บริการ จ่ายเงินเพื่อลง App แท้ ตามร้านตู้ใน MBK และห้างสรรพสินค้าอีกหลายแห่ง … คำว่า App แท้ของพวกเขา เป็น App ที่ดาวน์โหลดมาจาก App Store จริงๆ ครับ ดังนั้นเรื่องความปลอดภัยนี่มั่นใจได้ … ตรงนี้ร้านพวกนี้เขาอาศัยช่องโหว่ของแนวคิดของ App Store ที่ยอมให้เราติดตั้ง App บน Device ทุกเครื่องที่ทำการ Sign in ด้วย Apple ID ที่ซื้อมาได้ … แต่อย่างไรก็ดี การกระทำแบบนี้มันละเมิดข้อตกลงในการใช้งานนะครับ ดังนั้นถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์แบบหนึ่ง
เตรียมเงินสำหรับ Accessories ด้วย
พวก Android Smartphone ไม่ค่อยมีของเล่นให้เล่นด้วเยอะเท่าไหร่ อย่างเก่งก็มีฟิล์มกันรอย, เคส, Bluetooth Headset และ Bluetooth Keyboard แต่ถ้าเป็น iPhone ละก็ ของเล่นเพียบเลยนะครับ ดังนั้น การเปลี่ยนมาใช้ iPhone นั้น คุณอาจจะต้องเตรียมเงินสำหรับซื้อพวกอุปกรณ์เสริมต่างๆ เอาไว้ด้วย เว้นเสียแต่ว่าคุณจะสามารถควบคุมกิเลสของคุณเองได้
ที่ต้องคิดหนักคือ ถ้าคุณซื้อ iPhone 4 หรือ iPhone 4S ละก็ พวกอุปกรณ์เสริมเพียบครับ แต่ว่าในอนาคตก็จะหาอุปกรณ์เสริมได้ลดน้อยลง เพราะ Apple เขาเปลี่ยนตัว Connector จาก 30-pin แบบเดิม มาเป็น 8-pin ที่ใช้ชื่อว่า Lightning แล้ว
อย่าคิดว่า iPhone ใช้ง่ายนะ เพราะนับว่ามันใช้ยากขึ้นทุกที (จริงๆ นะ)
ผมยอมรับครับว่า iPhone ตัวแรกๆ และ iOS รุ่นแรกๆ (ที่เมื่อก่อนเรียก iPhone OS) นั้นมีจุดเด่นตรงที่ใช้งานง่าย ไม่แปลกใจที่ Apple ไม่ได้ให้คู่มือการใช้งานมาด้วย … แต่ว่าปัจจุบัน iPhone ไม่ได้ใช้งานง่ายอีกต่อไปแล้วนะครับ แม้ว่า Apple ยังคงยึดมาตรฐานเดิม คือ ไม่มีการแจกคู่มือมากับตัวเครื่อง แต่ว่าทั้ง iPhone และ iPad นั้น ต่างก็มี User Guide ความหนาระดับพอสมควร แจกให้ดาวน์โหลดฟรีบน iBooks ครับ
ดังนั้น ใครที่คิดว่าจะซื้อมาเพราะมันน่าจะใช้งานง่าย … มันไม่ใช่แบบนั้นเสมอไปแล้ว … นอกจากนี้ การใช้งานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ก็จะต้องใช้ iTunes เป็นด้วยนะครับ
และนี่ก็คือทั้งหมด ที่เป็นพื้นฐาน ที่ผู้ใช้งานระบบปฏิบัติการ Android ต้องเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการเปลี่ยนไปเป็นสาวกครับ
ขอบคุณบทความจาก คุณคงเดช กี่สุขพันธ์ (@kafaak) จากบล๊อก kafaakblog
(ในทางกลับกัน หากอยากจะนอกใจ iOS หันมาเป็นสาวก Android บ้าง ต้องทำอย่างไร? อ่านได้ที่ เปลี่ยนมือถือจาก iPhone มาเป็น Android ต้องเตรียมตัวเตรียมใจยังไงบ้าง? )