บทความนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากบทความของ PC World ครับ ด้วยความที่ปัจจุบัน Android Smartphone ก็มีการพัฒนาไปมากแล้ว พวกที่เป็นระดับไฮเอนด์นี่ก็ใช้งานได้ดี มีความหรูหรา จนเรียกว่าเอามาใช้แทน iPhone ก็ไม่ตะขิดตะขวงใจ อีกทั้งเทรนด์ของ Smartphone นั้น เริ่มไปในทิศทางที่อยากได้จอใหญ่ๆ กันมากขึ้น เพราะมันเห็นเต็มตา การทัชก็เต็มไม้เต็มมือดี … หลายๆ คนเริ่มมองว่า iPhone จอ 3.5 นิ้วมันเล็กไปแล้ว และเริ่มคิดอยากเปลี่ยนไปใช้ Android Smartphone กันบ้าง ผมเห็นว่าบทความมันน่าสนใจ เลยขอนำมาปรับใช้เป็นบล็อกตอนนี้ให้ได้อ่านกันครับ
ถ้าจะเลือกซื้อ Android Smartphone ควรเลือกสเปกที่สูงหน่อย
Android Smartphone มีให้เลือกหลากรุ่นหลายราคามาก (มากจนบางทีสับสนกันง่ายๆ) คุณภาพก็เป็นไปตามราคาซะส่วนใหญ่ครับ คือ ถ้าราคาถูกๆ มันก็สเปกต่ำๆ ราคาแพงๆ ก็ได้สเปกสูงๆ แต่ผมก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องซื้อ Android Smartphone ราคาเกินหมื่น ถึงจะได้ประสบการณ์ใช้งานดีๆ … เนื่องจากเทคโนโลยีมันพัฒนาไปไกลแล้ว พวก Android Smartphone สเปกแรงๆ ราคาไม่ได้แพงอะไรมากมายแล้วละครับ
ผมแนะนำว่า ถ้าจะซื้อ Android Smartphone ให้ได้ประสบการณ์ในการใช้งานที่ดีๆ ควรจะมี CPU แบบ Dual-core 1GHz, RAM 1GB และ Internal Storage 4GB ขึ้นไปครับ จะได้ใช้งานได้ลื่นๆ และติดตั้ง App บนตัวเครื่องได้โดยไม่ติดขัดอะไร … ซึ่งตรงนี้ Motorola Atrix 2 ดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีมากๆ สนนราคา 9,900 บาทเท่านั้น ไม่ถึงหมื่นด้วย
คำนึงถึงการรองรับย่านความถี่
ซื้อ Smartphone มาทั้งที ก็ต้องเอามาใช้ให้เต็มที่ การจะใช้ให้เต็มที่ ก็ย่อมรวมถึงการใช้ Mobile Internet ด้วย และต้องรวมถึงเทคโนโลยี 3G ที่บ้านเราจนถึงตอนนี้ ยังไม่สามารถไปใช้ความถี่มาตรฐานที่ชาวบ้านชาวช่องเขาใช้กัน (2100MHz) ได้เลย … แต่สำหรับผู้ใช้ iPhone นั้นไม่มีปัญหา เพราะรุ่นใหม่ๆ รองรับความถี่ 3G ที่ใช้กันในบ้านเรา ทั้ง 850/900/2100MHz ได้สบายๆ
แต่ถ้าเป็น Android Smartphone ต้องเช็คสเปกให้ดีๆว่ามันรองรับย่านความถี่อะไรบ้าง … ดูอย่างสเปกของ HTC Desire V ที่ระบุใน GSMArena.com ด้านล่างนี่ก็ได้ครับ เจ้านี่เป็น Android Smartphone ที่ใส่ได้ 2 ซิมครับ จะเห็นว่าซิม 1 รองรับ 850/900/1800/1900MHz แต่ ซิม 2 รองรับ 900/1800/1900MHz ซึ่งยังไม่ถือว่าเป็นปัญหาสำหรับ 2G แต่ถ้าจะใช้ 3G จะเห็นว่ารองรับแค่ 900/2100MHz เท่านั้น ซึ่งเท่ากับว่าจะใช้ 3G ของ truemove กับ dtac ไม่ได้ จนกว่าบ้านเราจะประมูลคลื่น 2100MHz กันเสร็จ
ถ้าใครไม่ถนัดเว็บภาษาอังกฤษ บ้านเราก็มีเว็บอย่าง Siamphone.com หรือ WhatPhone.net ที่มีข้อมูลสเปกโทรศัพท์มือถือให้ค้นหากัน
โอนย้ายข้อมูลบน iCloud ไปอยู่บน Google Apps
เช่นเดียวกับที่ iPhone มี Apple ID ไว้ผูกกับบริการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น App Store หรือ iCloud … Android Smartphone ก็มี Google Account ที่ใช้ผูกกับบริการต่างๆ มากมาย เช่นกัน … ดังนั้นต้องมีการโอนย้ายข้อมูลจาก iCloud ไปเป็น Google Apps ด้วยครับ จึงจะสะดวกที่สุด ซึ่งขั้นตอนนั้นจะแอบยุ่งยากเอาเรื่อง เพราะ Apple เป็นระบบค่อนข้างปิดมากๆ จึงต้องมีการโอนย้ายข้อมูลหลายขั้นตอนทีเดียว
ย้ายปฏิทินจาก iCloud ไป Google Calendar
มีหลายขั้นตอนครับ แต่ไม่ถึงกับยุ่งยากมาก … วิธีสะดวกที่สุดนั้น ทำตามนี้เลย
เริ่มจากใช้ Microsoft Outlook บน PC หรือ Mac หรือ Calendar บน Mac เชื่อมต่อกับ iCloud ก่อน ซึ่งทำได้ตามวิธีต่อไปนี้
Microsoft Outlook ต้องใช้ iCloud Control Panel เข้าช่วย โดยไปดาวน์โหลดมาจากเว็บของ Apple จากนั้นติดตั้งลงบน Windows แล้วรันโปรแกรมขึ้นมา จากนั้นก็กำหนดให้ Sync ข้อมูลปฏิทิน
Calendar บน Mac จะตั้งง่ายมาก เพราะแค่ Sign in ด้วย Apple ID ก็เรียบร้อยแล้ว
Export ข้อมูลจาก Microsoft Outlook หรือ Calendar ออกมาเป็นไฟล์นามสกุล .ics โดยทำตามขั้นตอนที่ Apple แนะนำไว้ในเว็บ Support อันนี้ โดยดูที่หัวข้อ Calendars
ไปที่ Google Calendar จากนั้นไปที่ การตั้งค่าปฏิทิน > ปฏิทิน > นำเข้าปฏิทิน แล้วไป Import จากไฟล์ .ics ที่เราเตรียมไว้ ก็เรียบร้อย (รายละเอียดขั้นตอนการ Import ไฟล์ ดูได้จาก Support ของ Google Calendar)
ย้ายอีเมล์จาก iCloud ไป Gmail
เช่นเดียวกัน มีหลายขั้นตอน แต่ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรมากนัก มีโปรแกรมมาช่วยดำเนินการได้เยอะทีเดียว ทำตามนี้ได้เลยครับ
ให้ง่ายที่สุด คือใช้โปรแกรม Mail ของ Mac OSX เชื่อมกับอีเมล์ของ iCloud (ผมขอเดาว่าหากคุณใช้ iCloud เป็นหลักแล้ว คุณควรมีเครื่อง Mac นะ) จากนั้นทำตามขั้นตอนในเว็บ Support นี้ ในหัวข้อ Mail & Notes เพื่อ Export ข้อมูลอีเมล์ทั้งหมดออกมาเป็นไฟล์ .mbox
จากนั้นไปดาวน์โหลดโปรแกรม Google Gmail Loader มาติดตั้ง (อันนี้ต้องขออภัย แต่มันมีแค่เวอร์ชันบน Windows เท่านั้น … แต่ซอร์สโค้ดมีเวอร์ชันบน Mac OSX ด้วย เหอๆ ใครเก่งก็ไป Compile กันเองได้นะ) จากนั้นก็ใช้โปรแกรมนี้โยนเมล์ทั้งหมดไปยัง Gmail ได้ผ่านทางโปรโตคอล SMTP ได้ (หลักการจริงๆ คือ การอ่านเมล์ทีละฉบับ แล้วส่งเมล์ไปที่ Gmail ทีละฉบับนั่นแหละ)
สุดท้าย คือใช้โปรแกรม Google Gmail Loader ในการส่งเมล์ในไฟล์ .mbox ขึ้นไปที่ Gmail ครับ
ย้าย Contacts จาก iCloud ไปที่ Google Contacts
ผมว่าการย้าย Contacts ง่ายสุดแล้วครับ … เช่นเคย มีโปรแกรมคอยช่วยอำนวยความสะดวก แต่ข้อดีคือ ไม่ต้องดาวน์โหลดอะไรเพิ่มเติมมาก เพราะในฐานะผู้ใช้ iPhone ก็ต้องมี iTunes ติดตั้งอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่แล้วจริงไหมล่ะ ที่เหลือก็แค่เสียบ iPhone เข้าไปในเครื่อง (หรือจะใช้ WiFi Sync ก็ได้) แล้วคลิกไปที่ชื่อของ iPhone แล้วเลือกแท็บ Info จากนั้นทำเครื่องหมายถูกตรง Sync Contacts และ Sync Google Contacts จากนั้นก็แค่ล็อกอินด้วย Google ID ก็เป็นอันเรียบร้อย Contacts ก็จะถูก Sync ขึ้นไปที่ Google Contacts ครับ
การโอนย้ายข้อมูลทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น Mail, Calendar หรือ Contacts ไปไว้บนบริการของ Google ทั้งหมด ช่วยให้เราเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้จากทุก Platform มากกว่าการเอาไปไว้บน iCloud เยอะครับ และหากในอนาคตเกิดอยากเปลี่ยนกลับไปใช้ iPhone เหมือนเดิม ก็ไม่จำเป็นต้องย้ายกลับไป iCloud ด้วย แต่สามารถใช้ iPhone ทำการ Sync ข้อมูลกับ Google ได้เลยด้วย
iWorks และ Google Drive
โดยความเห็นส่วนตัว ผมต้องบอกว่าคงต้องทำใจครับ เพราะว่า iWorks นี่ มันเป็นระบบปิดแบบสุดๆ ถ้าจะใช้งานกับ Cloud ก็ต้องผ่าน iCloud สถานเดียว … ในกรณีนี้ ถ้าคุณจะย้ายจาก iPhone มาเป็น Android Smartphone ละก็ คุณเหลือทางเลือก 2 ทางครับ คือ
- ตัดใจจาก iWorks for iPhone แล้วเลือกใช้เฉพาะตอนที่อยู่กับเครื่อง Mac ก็พอ … ทำใจซักหน่อยว่าหมดสิทธิ์แก้ไขเอกสารผ่านทางอุปกรณ์พกพาแล้ว
- คิดใหม่ทำใหม่ ย้ายไปใช้ Google Drive หรือไม่ก็ Dropbox เลย … โดยใช้ App อย่าง QuickOffice Pro มาเป็นโปรแกรมสำหรับอ่านและแก้ไขเอกสารแทน ซึ่งเจ้านี่สามารถเชื่อมต่อกับ Google Drive หรือ Dropbox ดาวน์โหลดไฟล์มาแก้ไขและอัพโหลดกลับไปได้เลย โดยรองรับไฟล์เอกสารประเภท Microsoft Office ได้ถึงเวอร์ชัน 2010 สบายๆ ครับ (และ Office 2013 ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรด้วย)
Google Play และการติดตั้ง App
ตอนใช้ iPhone ถ้าไม่ได้ Jailbreak ละก็ การจะติดตั้ง App ต้องทำผ่าน App Store ของ Apple เท่านั้นนะครับ แต่ถ้าเป็นระบบปฏิบัติการ Android ละก็ จะสามารถติดตั้งผ่าน Google Play ได้ (ทั้งการเข้าถึงผ่านไอคอน Play บนตัว Android Smartphone เอง หรือผ่านทางเว็บ play.google.com ครับ), จะทำผ่านสิ่งที่เรียกว่า Android Alternate Market ซึ่งเป็นพวก App Store ที่คนอื่นเขาทำขึ้นมาก็ได้ (เช่น SlideME หรือ appoke เป็นต้น) หรือจะติดตั้งผ่านไฟล์ติดตั้งที่มีนามสกุลเป็น .apk ก็ได้ (และนั่นหมายความว่า มีพวก App เถื่อนละเมิดลิขสิทธิ์ให้ติดตั้งด้วยเช่นกัน)
การติดตั้งผ่านทาง Google Play หรือว่า Alternate Market นั้น แค่คลิกแล้วก็จะติดตั้งได้เลย … แต่ถ้าจะติดตั้งผ่านไฟล์ .apk ก็ต้องไปเปิดใน Settings > Security > Unknown Source (ในกรณีของระบบปฏิบัติการ Android 4.0 Ice Cream Sandwich) ครับ จึงจะติดตั้งได้
อย่าลืมติดตั้ง Antivirus ด้วย
คนที่ใช้ iPhone จะเคยชินกับการใช้งานอย่างค่อนข้างปลอดภัย ภายใต้ระบบที่ค่อนข้างปิดมิดชิด จึงไม่ต้องกังวลมากเรื่องมัลแวร์ต่างๆ ยกเว้นแต่จะไป Jailbreak มา … แต่ Android Smartphone นี่เป็นระบบค่อนข้างเปิดครับ สังเกตได้จากการที่ติดตั้ง App ได้ทั้งผ่าน Alternate Market หรือผ่านไฟล์ .apk ด้วย ผลก็คือ โอกาสที่จะเจอดี เจอผู้ไม่หวังดีแฝงมัลแวร์มากับตัวไฟล์ติดตั้ง ก็อาจทำให้ Android Smartphone ของเราติดมัลแวร์ได้ง่ายๆ เลย
การติดตั้ง Antivirus App อย่าง Lookout Mobile Security, AVG Antivirus หรือ avast! Mobile Security ก็จะช่วยเป็นมาตรการป้องกันชั้นที่สองสำหรับเราได้ครับ และพวกนี้ฟรีด้วยครับ (แต่จะมีการกระตุ้นให้เราอัพเกรดเป็นเวอร์ชัน Pro หรือ Premium เป็นระยะๆ) … แต่ทางที่ดีที่สุด พยายามป้องกันตนเอง ด้วยการปฏิบัติดังนี้จะดีกว่า
- ไม่ไปดาวน์โหลดไฟล์ .apk มาติดตั้งเอง และไม่ไปดาวน์โหลด App จาก Alternate Market ที่ไม่น่าเชื่อถือ … ทางที่ดีที่สุดคือพยายามอยู่กับ Google Play เข้าไว้
- การจะดาวน์โหลดอะไรจาก Google Play ก็ไม่ได้ปลอดภัย 100% เพราะ Google ไม่ได้ทำเหมือนกับ Apple ที่ตรวจสอบ App ทุกตัวที่ส่งเข้ามา (ขนาด Apple ตรวจสอบทุกตัวแล้วยังมีหลุดรอดไปบ้างเลย) ดังนั้นก่อนจะดาวน์โหลดอะไร อ่าน Review ที่ผู้ใช้งานคนอื่นๆ เขียนไว้ก่อนก็จะดี เพราะส่วนใหญ่ ถ้าเป็น App ที่มีปัญหา พวกผู้ใช้งานที่กลายเป็นหนูทดลองของเราพวกนี้ จะเขียนก่นด่าไว้แน่นอนแล้ว
- ดังนั้น ด้วยเหตุผลว่าเราควรอ่าน Review ของผู้ใช้งานคนอื่นก่อน เราจึงควรเลือกดาวน์โหลดเฉพาะ App ที่มียอดดาวน์โหลดเยอะๆ แล้ว และมีการเขียน Review เอาไว้แล้วด้วย
ถ้าเตรียมตัวเตรียมใจได้ระดับนี้แล้ว การจะไปเริ่มใช้ Android Smartphone ก็จะไม่ยากเย็นเท่าไหร่แล้วครับ … ที่เหลือก็แค่หัดใช้ไปเรื่อยๆ
ขอบคุณบทความจาก คุณคงเดช กี่สุขพันธ์ (@kafaak) จากบล๊อก kafaakblog
แต่! ถ้าอยากเปลี่ยนจาก Android ไปเป็น iPhone บ้าง ต้องทำอย่างไร? อ่านได้ที่ หากจะนอกใจ Android มากลายเป็นสาวก iPhone ต้องเตรียมตัวเตรียมใจยังไงบ้าง?