10 วิธีเช็กข้อมูลรั่วไหล data breach หรือไม่ ข้อมูลส่วนตัวของคุณอาจรั่วไหล ถ้าเกิดขึ้นจริงละก็จะก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างมากต่อความเป็นอยู่ส่วนบุคคลและการเงินของคุณ แต่คุณสามารถป้องกันและบรรเทาอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยทำการตรวจสอบข้อมูลต่างๆว่ามีจุดไหนที่ข้อมูลรั่วไหลหรือไม่ มีรายการที่ผิดปกติมั้ย
10 วิธีเช็กข้อมูลรั่วไหล data breach หรือไม่
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทราบว่าคุณตกเป็นเหยื่อของการละเมิดข้อมูล มีข้อมูลรั่วไหลหรือไม่ แต่มีวิธีที่รวดเร็วในการเช็กตรวจสอบข้อมูลรั่วไหลได้ดังนี้
1.ใช้ Google ค้นหาที่อยู่อีเมลตัวเอง แล้วเจออะไรบ้าง
การใส่ที่อยู่อีเมลของคุณในเครื่องหมายคำพูดเมื่อคุณใช้ Google จะทำให้แน่ใจได้ว่า จะส่งกลับ เฉพาะรายการที่ตรงกันทุกประการ เท่านั้น หากอีเมลของคุณปรากฏบนเว็บ คุณสามารถตรวจสอบและอาจแจ้ง Google เพื่อขอให้ทาง Google ลบข้อมูลส่วนบุคคลของเราออกไป
2.เปิดใช้งานการตรวจสอบ Google Dark Web
คุณสามารถใช้เครื่องมือ Dark Web Report ของ Google เวอร์ชันฟรีเพื่อดูว่าข้อมูลส่วนบุคคลของคุณปรากฏบนเว็บไซต์ที่ไม่ได้จัดทำดัชนีแบบสาธารณะบน Google หรือไม่
3.ตรวจสอบการรั่วไหลของอีเมลและรหัสผ่าน
แม้ว่าเครื่องมือ Dark Web Report ของ Google จะมีประสิทธิภาพ แต่ก็ตรวจไม่พบข้อมูลรั่วไหลทั้งหมด คุณสามารถสร้างภาพที่ครอบคลุมว่าข้อมูลส่วนบุคคลของคุณอาจมีความเสี่ยงอย่างไรโดยการตรวจสอบว่าที่อยู่อีเมลหรือรหัสผ่านของคุณปรากฏในการละเมิดข้อมูล บนเว็บ HaveIBeenPwned หรือไม่
4.ใช้ตัวจัดการรหัสผ่าน
เมื่อคุณตรวจสอบรหัสผ่านของคุณแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะเริ่มใช้เครื่องมือจัดการรหัสผ่าน การติดตามรหัสผ่านของคุณเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้าถึงเว็บไซต์ที่มีความละเอียดอ่อน อย่าลืมเปลี่ยนรหัสผ่านของคุณหากคุณสงสัยว่าคุณถูกแฮ็ก
5.ติดตามกิจกรรมการเข้าสู่ระบบ
นอกเหนือจากการปกป้องบัญชีของคุณแล้ว คุณยังสามารถลดอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการละเมิดได้โดยการตรวจสอบกิจกรรมการเข้าสู่ระบบของคุณ คุณยังสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนความปลอดภัยในการเข้าสู่ระบบผ่านทาง Gmail ตลอดจนโซเชียลเน็ตเวิร์ก และไซต์อื่นๆ
6.อย่าลืมใส่ใจตรวจสอบโฟลเดอร์ขยะของคุณด้วย
แม้ว่าคุณจะจัดการการตั้งค่าโฟลเดอร์สแปมอย่างมีประสิทธิภาพ แต่บางครั้งอีเมลสำคัญก็จะติดอยู่ในโฟลเดอร์ขยะของคุณเมือนกัน อย่ามองข้ามสแปมจำนวนผิดปกติระหว่างการค้นหาของคุณ เนื่องจากแฮกเกอร์จำนวนมากใช้วิธีการที่เรียกว่า “การทิ้งระเบิดสแปม” เพื่อปกปิดกิจกรรมข
7.ตรวจสอบอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตรวจสอบอุปกรณ์ใดบ้างที่เชื่อมต่อกับบัญชีของคุณเป็นระยะ และลบอุปกรณ์ใด ๆ ที่คุณไม่รู้จักออกไป
คุณควรตรวจสอบเครือข่าย Wi-Fi เพื่อค้นหาอุปกรณ์ที่น่าสงสัยและลบเซสชันอุปกรณ์ ที่คุณไม่รู้จักในบัญชี Google ของคุณ นอกจากนี้ คุณควรตรวจสอบบัญชีโซเชียลมีเดียของคุณ เช่น Facebook และ Instagram เนื่องจากแฮกเกอร์อาจพยายามค้นหาข้อมูลที่ละเอียดอ่อน (เช่น ข้อมูลบัตรเครดิต) ที่เชื่อมโยงกับบัญชีของคุณ
8.ตรวจสอบการชำระเงินด้วยบัตรและบัญชีธนาคาร
เนื่องจากแฮกเกอร์มีแนวโน้มที่จะละเมิดบัญชีโซเชียลมีเดียและอีเมลโดยมีจุดประสงค์เพื่อค้นหาข้อมูลทางการเงินที่ผูกกับโซเชียล คุณสามารถทราบได้ว่าคุณถูกละเมิดหรือไม่โดยการตรวจสอบการชำระเงินด้วยบัตรและบัญชีธนาคารของคุณ หากพบรายการที่ไม่ได้เกิดโดยเราทำ ควรโต้แย้งธุรกรรมหรือการโอนเงินใดๆ ที่รู้ว่าเราไม่ได้ทำทันที
9.ตรวจสอบคะแนนเครดิตที่ลดลงอย่างกะทันหัน
แฮกเกอร์มักจะทำให้การโจรกรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนโดยใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของคุณเพื่อเปิดบัตรเครดิตใหม่ แต่กิจกรรมของพวกเขามักจะส่งผลให้คะแนนเครดิตลดลงอย่างไม่คาดคิด หากคุณพบคำถามที่คุณไม่รู้จัก หรือสังเกตเห็นว่ามีการใช้เครดิตของคุณเพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิด คุณจะต้องดำเนินการสองสามขั้นตอนเพื่อกู้คืนจากการโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคลรวมถึงการยื่นแจ้งความของตำรวจและโทรติดต่อธนาคารของคุณ
นอกจากนี้ คุณควรเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับภัยฉ้อโกงบัตรเครดิตเกิดขึ้นได้อย่างไร และพยายามหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้ข้อมูลทางการเงินของคุณตกอยู่ในความเสี่ยง
10.ติดตามข่าวการละเมิดข้อมูล
สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณควรติดตามข่าวการละเมิดข้อมูล การลงทะเบียนเพื่อรับการแจ้งเตือนจาก HaveIBeenPwned เป็นแนวคิดที่ดี หรือการโทรสอบถามกับธนาคารถึงรายการธุรกรรมที่ผิดปกติก็ได้เช่นกัน ตลอดจนติดตามข่าวสารไอทีจากสื่อมวลชนหรือหน่วยงานไอทีที่น่าเชื่อถือ
อ้างอิง Makeuseof cover iT24Hrs-S
อ่านบทความและข่าวอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่ it24hrs.com
10 วิธีเช็กข้อมูลรั่วไหล data breach หรือไม่
อย่าลืมกดติดตามอัพเดตข่าวสาร ทิปเทคนิคดีๆกันนะคะ Please follow us
Youtube it24hrs
Twitter it24hrs
Tiktok it24hrs
facebook it24hrs