หมวกกันน็อกรุ่นไหนผ่านมาตรฐานความปลอดภัย โดยเมื่อ 8 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค) จัดงานแถลงข่าว “เปิดผลทดสอบหมวกกันน็อก ยี่ห้อไหนได้มาตรฐาน?” โดยผลจากการทดสอบพบว่า มีหมวกกันน็อกที่ผ่านมาตรฐานจำนวน 14 ตัวอย่าง และหมวกกันน็อกที่ไม่ผ่านมาตรฐาน 11 ตัวอย่าง โดยสามารถคลิกที่นี่เพื่อดูผลฉบับเต็ม
ทั้งนี้ ข้อมูลผลทดสอบหมวกกันน็อกดังกล่าว เป็นข้อมูลจากโครงการภายใต้ความร่วมมือของสภาผู้บริโภค ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค : MTEC) ภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
นอกจากนี้ ยังพบปัญหาเรื่องการแสดงสัญลักษณ์มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) โดยไม่มีคิวอาร์โค้ด (QR Code) ควบคู่ด้วย สภาผู้บริโภคจึงมีข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไข 4 ข้อถึงหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การนำหมวกกันน็อกที่ไม่ผ่านมาตรฐานออกจากท้องตลาด การพัฒนาหลักสูตรการอบรมขอรับใบอนุญาตขับขี่ การให้ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับหมวกนิรภัย และเสนอให้ผู้ผลิตระบุขนาดศีรษะที่เหมาะสมสำหรับหมวกนิรภัยแต่ละใบ ทั้งบนตัวผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้ผู้ใช้งานทราบ พร้อมทั้งการเร่งตรวจสอบผลิตภัณฑ์เป็นระยะ
อย่างไรก็ตามร้อยละ 80 ของยอดผู้เสียชีวิตในปีที่ผ่านนั้นส่วนใหญ่เกิดจากการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุด้วยรถจักรยานยนต์ จากการเก็บข้อมูลของนักวิชาการอย่างต่อเนื่อง พบว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้เสียชีวิตเกิดจากการไม่สวมใส่หมวกนิรภัยหรือหมวกกันน็อก โดยคนไทยที่เป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สวมหมวกนิรภัยเพียงร้อยละ 40 – 50 เท่านั้น “ที่น่าตกใจ คือ ผลการเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์มีความแตกต่างกัน โดยคนที่ไม่สวมหมวกกันน็อกเสียชีวิตมากกว่าคนที่สวมหมวกถึงร้อยละ 40 แปลว่าถ้าบังคับให้คนสวมหมวกกันน็อกมากขึ้นเท่าไร ยอดการเสียชีวิตโดยรวมของไทยน่าจะลดลงได้อย่างรวดเร็ว” นายแพทย์อนุชา กล่าว การบังคับให้ทุกคนสวมหมวกนิรภัย เป็นกุญแจสำคัญที่จะลดการบาดเจ็บและการเสียชีวิตบนท้องถนนได้ แต่การพิสูจน์ให้ได้ว่าทุกคนจะได้สวมหมวกนิรภัยที่มีมาตรฐาน มีคุณภาพ และสามารถสวมใส่ได้อย่างถูกต้อง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่กลายเป็นโจทย์ที่ท้าทายและเร่งด่วนมากในขณะนี้
เศรษฐลัทธ์ แปงเครื่อง นักวิชาการจากทีมวิจัยเทคโนโลยียานยนต์และการขับขี่ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ ระบุว่า จากการสุ่มซื้อหมวกนิรภัยสำหรับผู้ใช้รถจักรยานยนต์ หรือหมวกกันน็อกในท้องตลาด ทั้งจากห้างสรรพสินค้า ร้านตัวแทนจำหน่ายหมวกนิรภัย และร้านค้าบนตลาดออนไลน์ (E-Commerce) เช่น Shopee Lazada และนำไปทดสอบในห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองจาก สมอ. พบว่ามีหมวกกันน็อกที่ไม่ผ่านมาตรฐาน 11 ตัวอย่าง จากการหมวกกันน็อกที่ทดสอบทั้งหมด 25 ตัวอย่าง ข้อมูลจากการทดสอบในครั้งนี้ นอกจากจะทำให้ผู้บริโภคได้ทราบว่าหมวกกันน็อกรุ่นไหนผ่านหรือไม่ผ่านมาตรฐานแล้ว ผู้บริโภคยังสามารถเทียบราคากับคุณภาพได้ โดยดูจากคะแนน ซึ่งคะแนนเต็ม 5 หมายถึง ดีที่สุด และน้อยลงไปตามลำดับ จนถึงคะแนน 0 ซึ่งหมายถึง แย่ที่สุด ทั้งนี้ เกณฑ์การให้คะแนนหมวกกันน็อกดังกล่าว คำนวณมาจากการทดสอบและประเมินเรื่องความปลอดภัยที่แบ่งได้เป็น 3 หัวข้อ ได้แก่ ความสามารถในการปกป้องเมื่อเกิดอุบัติเหตุ (Passive Safety) ความสามารถในการป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ (Active Safety) และความพึงพอใจในการสวมใส่และใช้งาน (Comfort and Fitting) โดยอ้างอิงจากวิธีการทดสอบของ สมอ.
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งที่น่ากังวลคือ หมวกกันน็อกทุกตัวอย่างที่นำมาทดสอบมีเครื่องหมาย มอก. แต่ข้อมูลที่ได้จากการทดสอบหมวกกันน็อกบางตัวอย่างกลับไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่ สมอ. กำหนด นอกจากนี้ ยังพบปัญหาเรื่องการแสดงสัญลักษณ์ มอก. โดยไม่มีคิวอาร์โค้ดควบคู่ ซึ่งมีความผิดตามกฎหมายและมีหมวกกันน็อก 1 ตัวอย่างที่มีสัญลักษณ์ มอก. คู่กับคิวอาร์โค้ด แต่เมื่อสแกนแล้วกลับเชื่อมต่อไปยังไลน์ของบริษัทแทนที่จะเป็นฐานข้อมูลรายละเอียดของสินค้าและผู้ผลิตตามที่ สมอ. กำหนด
สำหรับข้อแนะนำในการเลือกซื้อและใช้งานหมวกกันน็อก เศรษฐลัทธ์ ระบุว่า หากกล่าวโดยอิงจากผลการทดสอบเชิงคุณภาพ การสวมหมวกกันน็อกแบบเต็มใบปิดหน้าจะสามารถป้องกันการบาดเจ็บที่จะเกิดขึ้นกับศีรษะได้ดีกว่าแบบครึ่งใบ อย่างไรก็ตาม ในการใช้งานจริงแต่ละคนอาจมีข้อจำกัดหรือเงื่อนไขอื่น ๆ เช่น การระบายความร้อน ความสะดวกในการใช้งานและการหายใจ รวมถึงด้านราคา จึงเป็นสาเหตุของการออกแบบเกณฑ์การให้คะแนนสำหรับหมวกกันน็อกเพื่อให้ผู้บริโภคมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือและเข้าใจง่ายเพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกหมวกแบบต่าง ๆ ตามความต้องการ ทั้งนี้ ไม่ควรเลือกซื้อหรือใช้งานหมวกกันน็อกที่มีอายุมากกว่า 5 ปี เพราะตามคำแนะนำของบริษัทผู้ผลิตและจากรายงานผลการศึกษาในประเทศไทย หมวกกันน็อกแต่ละใบมีอายุการใช้งานสูงสุดไม่เกิน 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ผลิต
สภาผู้บริโภคได้มีข้อเสนอแนะให้กับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปผลักดันเป็นมาตรการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค 4 ข้อ ดังนี้
1. ขอให้ สมอ. บังคับใช้กฎหมาย นำหมวกนิรภัยที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานออกจากตลาดโดยเร็ว และมีมาตรการเปรียบเทียบปรับผู้ประกอบการที่กระทำผิดต่อกฎหมาย
2. ขอให้กรมการขนส่งทางบก ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงสาธารณสุข ยกระดับมาตรฐานการออกใบอนุญาตขับขี่ที่มีคุณภาพ และผลักดันความรู้วิธีการในการเลือกหมวกนิรภัยและการสวมใส่ให้ถูกวิธีในหลักสูตรการอบรมขอรับใบอนุญาตขับขี่
3. ขอความร่วมมือผู้ผลิตและผู้แทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ จัดสถานที่และบริการฝึกปฏิบัติทักษะการขับขี่อย่างปลอดภัย โดยเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับหมวกนิรภัย เช่น การวัดขนาด การเลือก และการสวมใส่ที่เหมาะสม โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอย่างครอบคลุมทุกพื้นที่
และ 4. ขอความร่วมมือให้ผู้ผลิตระบุขนาดศีรษะที่เหมาะสมสำหรับหมวกนิรภัยแต่ละใบ ทั้งบนตัวผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้ผู้ใช้งานทราบ
การเลือกซื้อหมวกกันน็อก ซื้อแบบไหนถึงจะปลอดภัย ?
ผู้แทนจาก สมอ. กล่าวว่า ผู้บริโภคที่ต้องการซื้อหมวกนิรภัยสำหรับผู้ใช้รถจักรยานยนต์ สิ่งแรกที่ควรสังเกตคือ เครื่องหมายมาตรฐานพร้อม QR Code ที่แสดงอยู่ใกล้เคียงกัน ทั้งนี้ผู้บริโภคสามารถสแกน QR Code เพื่อตรวจสอบผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าว่าเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตทำ หรือนำเข้าในแบบ รุ่น ขนาด ที่ได้รับใบอนุญาตจาก สมอ. หากพบว่าไม่เป็นไปตามที่กำหนด สามารถแจ้ง หรือร้องเรียนมาที่ สมอ. ผ่านหน้าของ www.tisi.go.th หรือที่ [email protected] เมื่อคดีสิ้นสุด สมอ. มีรางวัลนำจับให้กับผู้แจ้งเบาะแสด้วย”
อ้างอิง สภาองค์กรของผู้บริโภค cover iT24Hrs-S
อ่านบทความและข่าวอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่ it24hrs.com
หมวกกันน็อกรุ่นไหนผ่านมาตรฐานความปลอดภัย
อย่าลืมกดติดตามอัพเดตข่าวสาร ทิปเทคนิคดีๆกันนะคะ Please follow us
Youtube it24hrs
Twitter it24hrs
Tiktok it24hrs
facebook it24hrs