รวมข้อมูลสำคัญที่เราต้องรู้ช่วงโควิด 19 ระบาด หลังประเทศไทยกำลังจะเผชิญกับผู้ติดเชื้อ COVID-19 อย่างหนัก ซึ่งแพร่กระจายไปยังทั่วประเทศไทยจนครบ 77 จังหวัดแล้ว แถมจำนวนผู้ติดเชื้อก็สูงมากด้วย เราจึงรวบรวมข้อมูลสำคัญที่เราคนไทยควรรู้ เพื่อปฏิบัติตนได้ถูก ไม่ว่าจะเป็นผู้ยังไม่ติดเชื้อ ผู้เสี่ยงติดเชื้อ ผู้ติดเชื้อ covid 19 ผู้ต้องการไปตรวจโควิด19 ผู้ต้องการรักษา หรือแม้แต่การปฏิบัติตัวในทุกๆวันที่เราจำเป็นจะต้องทำ เพื่อไม่ให้เชื้อ covid 19 กระจายไปมากกว่านี้ โดยเฉพาะอาจนำไปติดคนในครอบครัวและผู้สูงอายุ
เรากำลังอยู่ในคนกลุ่มไหน และแต่ละกลุ่มต้องปฏิบัติตัวอย่างไร ?
ลองสำรวจตัวเองกันก่อนว่าตอนนี้เราตกอยู่ในคนกลุ่มไหน เพื่อจะได้สามารถปฏิบัติตนได้ถูกต้อง
1) ถ้าหากเราตกอยู่ในกลุ่มสีส้ม คือเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง โดยใกล้ชิดกับผู้ที่ถูกยืนยันแล้วว่าติดโควิด 19 (สีแดง) จะต้องทำอย่างไร
– ถ้าอยู่ในจังหวัดกรุงเทพฯ รีบเข้าไปกรอกแบบสำรวจตัวเองที่ http://bkkcovid19.bangkok.go.th โดยต้องกรอกตามความเป็นจริง หากเรากรอกแล้วพบว่าเราสัมผัสเสี่ยงสูง และมีอาการแล้ว จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อมาเพื่อให้คำแนะนำและช่วยดำเนินการ
– ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าตัวเราอาจจะติดเชื้อด้วย ต้องรีบกักตัวเอง ไม่พบกับผู้อื่นเพื่อลดโอกาสที่จะไปแพร่เชื้อให้คนอื่น ในขณะที่เรายังไม่ทราบว่าตัวเราเป็นด้วยหรือไม่ ไม่ใช้ของร่วมกับคนอื่น แยกตัวเองออกมาจากผู้อื่น หากต้องออกมาจากห้อง ให้ใส่หน้ากากสองชั้น ไม่ไปจับผิวสัมผัสอะไร
– ควรตรวจโควิด 19 เพื่อให้แน่ชัด หรือกักตัว 14 วันเพื่อสังเกตอาการ ซึ่งถ้าหากเรามีอาการไข้ เจ็บคอ ตาแดง มีผื่นบ้าง น้ำมูกไหล จมูกไม่ได้กลิ่น ไอ หากมีอาการเหล่านี้ยิ่งต้องรีบไปตรวจ (โดยระหว่างรอผล ก็ต้องกักตัวที่บ้าน หรือสถานที่แพทย์แนะนำ)
– หากตรวจครั้งแรกแล้วพบว่าไม่ติดเชื้อ ก็ควรกักตัวอยู่ที่บ้านหรือที่พักดูอาการต่อเป็นเวลา 14 วัน แล้วไปตรวจเชื้อซ้ำอีกครั้งเพราะวันแรกๆ ผลอาจจะ negative ได้ถ้าหากเชื้อยังน้อยอยู่
– แต่หากผลตรวจพบว่าติดเชื้อ รีบโทรศัพท์ หรือโพสต์โซเชียลแจ้งเพื่อนๆที่อยู่ใกล้ตัวเราทันที ห้ามแจ้งเพื่อนด้วยการไปหาเพื่อนเป็นอันขาด เพราะคุณกำลังจะนำเชื้อไปแพร่สู่คนอื่น และเข้ารับการรักษาต่อไป
2) ถ้าเราเป็นผู้ใกล้ชิดผู้สัมผัสเสี่ยงสูง (คือเราอยู่ในกลุ่มสีเหลืองหรือวงที่ 2 และเราใกล้ชิดกับสีส้ม)
– เช็กอาการของ สีส้ม ถ้าหากสีส้มติดเชื้อ ให้เรารีบกักตัวสังเกตอาการ หรือเข้ารับการตรวจโควิด19 แต่ก่อนไปตรวจ ควรต้องดูอาการก่อนสัก 5 วันเพราะระยะแแรกไปตรวจ แม้ผลจะ เป็น negative ก็ยังไม่ชัวร์ว่าจะไม่ติด100%
– เช็กอาการของ สีส้ม ถ้าหากสีส้ม ไม่ติดโควิด 19 กลุ่มสีเหลืองไม่ต้องกักตัวเอง แต่ให้ระมัดระวังไม่เข้าใกล้กลุ่มเสี่ยง หรือพืนที่เสี่ยงอีก
เมื่อเราต้องไปตรวจโควิด 19 ตรวจได้ที่ไหนบ้าง ?
จากการที่เราได้ลองสำรวจและลองสอบถามมาแล้ว พบกว่า หากเราตกอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ มีอาการไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส หายใจเร็ว หายใจเหนื่อย หรือหายใจลำบาก และมีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโควิด 19 หรือไปในพื้นที่เสี่ยงโควิด 19 หรือเดินทามาจากประเทที่มีรายงานผู้ติดเชื้อโควิด 19 โรงพยาบาลจะตรวจให้ฟรี เพราะถือเป็นกลุ่มเสี่ยง สามารถไปที่โรงพยาบาลรัฐที่ไหนก็ได้
แต่หากเป็นกลุ่มสีเหลือง หรือคนที่ไม่มีความเสี่ยง จากการสำรวจและลองสอบถามดูแล้ว พบว่า โรงพยาบาลรัฐอาจจะไม่ตรวจให้ หากเราอยากตรวจมากจริงๆ ต้องไปตามโรงพยาบาลเอกชน ที่คิดค่าตรวจค่อนข้างสูง จากที่สำรวจตามโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังราคาประมาณ 3,000-3,500 บาท
อย่างไรก็ตาม บางโรงพยาบาลอาจจะไม่รับ ถ้าหากคนไปตรวจมากจนเกินกำลัง น้ำยาตรวจไม่พอ หรือหากตรวจพบเชื้อแล้วเตียงรองรับผู้ติดเชื้อไม่เพียงพอ จึงควรต้องโทรตรวจสอบก่อนล่วงหน้า
การเดินทางไปตรวจ ดีที่สุดคือควรใข้รถส่วนตัว เพื่อลดโอกาสแพร่เชื้อสู่คนอื่น (เผื่อว่าถ้าเราติด) หากไม่มีรถส่วนตัว จำเป็นต้องเดินทางไปตรวจด้วยรถสาธารณะ ให้ระมัดระวังป้องกันคนอื่นถึงขีดสุด ใส่หน้ากากสองชั้น ระมัดระวังไม่เอามือของเราไปจับอะไร เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อของเราแพร่ไปสู่คนอื่นผ่านผิวสัมผัส ไม่พูดคุยกับใคร ไม่พบปะใคร เป็นการรับผิดชอบต่อสังคม
ถ้าตรวจพบแล้วว่าติดโควิด 19 จะต้องทำอย่างไร ?
โดยทั่วไป หากตรวจพบแล้วว่าติดโควิด โรงพยาบาลจะติดต่อมาและมีรถพยาบาลมารับเพื่อเข้าไปทำการรักษา ซึ่งเมื่อเรารู้ตัวแล้วว่าเราเป็นผู้ติดเชื้อ ระหว่างที่รอเข้าไปรับการรักษา ก็ต้องรีบกักตัว แยกตัวเองออกมาจากคนอื่นๆ ไม่ใช้ของร่วมกันกับคนอื่น ของใช้ของเราก็ต้องฆ่าเชื้อก่อนที่จะมีคนอื่นมารับต่อไป ไม่ไปที่สาธารณะ งดการเดินทาง เพราะเราจะกลายเป็นผู้แพร่เชื้อสู่คนอื่น
ซึ่งจากคำแนะนำของแพทย์ และอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขเผย ไม่ควรอยู่รักษาตัวที่บ้าน ผู้ติดเชื่อโควิด-19 จะต้องรักษาที่โรงพยาบาลหรือสถานที่รัฐจัดให้เท่านั้น
รวมสายด่วนสำคัญ รับมือ COVID-19
- 1422 กรมควบคุมโรค เพื่อขอคำแนะนำ ความช่วยเหลือเกี่ยวกับโรคโควิด-19
- 1330 สปสช. หรือบัตรทอง สำหรับสอบถามสิทธิบัตรทอง และประสานงานหาเตียงผู้ติดเชื้อ covid-19 เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
- 1668 เบอร์กรมการแพทย์ สำหรับประสานหาเตียงผู้ติดเชื้อโควิด-19 เปิดให้บริการเวลา 8.00-22.00น. ของทุกวัน*
- 1669 บริการแพทย์ฉุกเฉิน ตามจังหวัดท้องถิ่น สำหรับต่างจังหวัด / สายด่วนจัดหาเตียงในกรุงเทพมหานคร สำหรับชาวกรุงเทพ
- 1646 ศูนย์เอราวัณ ศูนย์บริการแพทย์ฉุกเฉิน กรุงเทพมหานคร
- 1323 สายด่วนด้านสุขภาพจิต โดยกรมสุขภาพจิตฃ
- 1111 สายด่วนแจ้งเบาะแสทั่วไป แจ้งเบาะแส และร้องเรียน COVID-19
นอกจากนี้รายังสามารถหาเตียงโควิด 19 ได้ โดยใช้ LINE สบายดีบอท @sabaideebot เพื่อช่วยหาข้อมูลเกี่ยวกับการจัดหาเตียงหากพบแล้วว่าตนเองติดโควิด 19 ได้
หากไม่ได้ติดเชื้อโควิด-19 เดินทางโดยเครื่องบินได้มั้ย ?
คำถามที่หลายคนสงสัย ซึ่งเรื่องนี้อธิบดีกรมควบคุมโรคได้โพสต์แนะนำไว้ว่า ขึ้นได้ แต่ต้องมีสติและปฏิบัติตามสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด ก่อนขึ้นเครื่องบิน ก็ล้างมือ ขยับหน้ากากอนามัยให้พอดีหน้า (เพราะขึ้นไปเราจะไม่จับแล้ว) ไม่เข้าห้องน้ำบนเครื่อง ไม่พูดคุย ไม่กินอาหารบนเครื่อง (เสี่ยงเปิดหน้ากากออกมา) หากจำเป็นต้องจับหน้าให้ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ก่อนจับบริเวณหน้าทุกครั้ง เมื่อลงเครื่องให้ล้างมือทันที
(แต่ถ้าคุณเป็นผู้ป่วยโควิด19 คุณก็ไม่ควรขึ้นเครื่องบินเพราะคุณจะไปแพร่เชื้อให้กับคนอื่นได้ง่ายๆ)
การป้องกันการแพร่ระบาด และสิ่งที่เราทุกคนควรปฏิบัติ เพื่อตนเองและเพื่อช่วยชาติ
1) ใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย
การใส่หน้ากาก คือการป้องกันตนเอง และป้องกันให้ผู้อื่น (คือการทำเพื่อตัวเองและเพื่อส่วนรวม) เพราะเราอาจมีเชื้อโดย ที่เราไม่รู้ตัวเพราะคนจำนวนมากได้รับเชื้อมาแล้วแต่ไม่แสดงอาการแต่เป็นพาหะในการนำเชื้อไปสู่คนอื่น และเชื้อจากเราที่นำไปสู่คนอื่น หากไปเข้าสู่คนที่ร่างกายไม่แข็งแรงคนนั้นก็จะมีอาการแล้วก็ป่วยซึ่งอาจจะหนักได้ด้วย ขณะเดียวกัน การที่เราอยู่ตามที่ต่างๆหรือไปไหนเราไม่อาจรู้ได้เลยว่าคนที่เราพูดคุยอยู่ด้วยนั้นเขามีเชื้อหรือไม่
การใส่หน้ากากยังเป็นการปกป้องตนเองจากการรับเชื้อโดยที่เราคาดไม่ถึงว่าคนที่เราคุยกับเขาอยู่นั้นเขาเป็นพาหะหรือไม่ คนที่เราคุ้นเคยไม่ว่าจะเป็นเพื่อนเรา เพื่อนร่วมงาน ญาติพี่น้องก็ไว้ใจไม่ได้เพราะบ่อยครั้งที่ติดกันมาจากคนที่เราคุ้นเคย
จุดอ่อนในสถานที่ทำงานก็คือ คนมักจะถอดหน้ากากเมื่ออยู่ในที่ทำงานเพราะคิดว่าอยู่กับคนคุ้นเคย ซึ่งคุณหมอแนะนำว่าไม่ควรถอดหน้ากาก เพราะเราก็ไม่สามารถตอบได้ว่าคนเหล่านั้นไปไหนมาบ้าง ใครมีเชื้ออยู่บ้าง เพราะมักจะไม่แสดงอาการ เวลารับประทานอาหารก็เป็นจุดเสี่ยงและจุดอ่อนอย่างมาก เพราะต้องถอดหน้ากาก จึงควรระมัดระวังไม่นั่งทานอาหารด้วยกัน
ทั้งนี้การใส่หน้ากากอนามัยควรใส่แบบให้มิดชิดปิดปากปิดจมูกด้วย เพราะหลายเคสที่ติดเชื้อเกิดจากการใส่หน้ากากใต้คาง หรือใส่หน้ากากแบบไม่ปิดจมูก
โดยสรุปก็คือ ใส่หน้ากากตลอดเวลา และใส่ให้ถูกวิธี หากตอนไหนจำเป็นต้องถอดหน้ากากเช่นเวลาทานอาหาร ต้องอยู่ห่างๆกันหรือพยายามอยู่คนเดียวไปเลย เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราถอดหน้ากาก เรากำลังเปิดโอกาสให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายโดยง่ายดาย และก็เปิดโอกาสให้เราแพร่เชื้อจากตัวเราสู่คนอื่นได้ง่ายดายเช่นกัน
2) ล้างมือบ่อยๆด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์
การล้างมือที่คนมักละเลย ใส่แต่หน้ากากแต่ไม่ล้างมือ ก็เป็นจุดอ่อนให้ติดเชื้อ เพราะของที่อยู่รอบตัว รับต่อมาจากใคร หรือส่งต่อให้ใครก็ตาม มีโอกาสที่จะมีเชื้ออยู่ที่ผิวสัมผัสได้ เพราะผู้ติดเชื้อ อาจไปจับ สัมผัสสิ่งของเหล่านั้นมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ของสาธารณะที่ผ่านมือคนจำนวนมาก การที่เราล้างมือบ่อยๆคือเพื่อลดโอกาสในการที่จะรับเชื้อมาไว้ที่มือแล้วเอามือไปป้ายหน้า ป้ายตา หรือหยิบอาหารเข้าปาก อันเป็นการรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายของตัวเองโดยตรงด้วยมือของเราเอง
หลีกเลี่ยงการสัมผัสจุดเสี่ยง อันได้แก่ผิวสัมผัสที่คนจำนวนมากมาสัมผัสร่วมกัน เช่น ปุ่มลิฟท์ ราวจับบันไดเลื่อน ก๊อกน้ำในห้องน้ำ ลูกบิดประตู โต๊ะหรืออะไรต่างๆที่เป็นของสาธารณะ หากแตะแล้วควรรีบล้างมือหรือใช้เจลแอลกอฮอล์เช็ดมือทันที ดังนั้นเราจึงควรพกเจลแอลกอฮอล์ติดตัวไว้ด้วย
3) รักษาระยะห่าง
อีกสิ่งที่คนมักจะมองข้าม ซึ่งการรักษาระยะห่าง ก็เพื่อลดโอกาสติดเชื้อ เนื่องจากละอองน้ำลายจะเดินทางได้ไกลประมาณ 2 เมตร (เพราะเชื้อนี้ติดต่อจากละอองน้ำลาย น้ำมูกของผู้ที่มีเชื้อ) ยิ่งถ้าหากถอดหน้ากากก็จำเป็นอย่างมากที่จะต้องยืนกันห่างๆเพื่อไม่ให้รับละอองน้ำลายจากคนที่อาจจะมีเชื้อ
แต่ถึงแม้ใส่หน้ากากถ้าอยู่ใกล้กันมากก็มีโอกาสติดเชื้ออยู่ดี
เวลาทานอาหารคือเวลาที่เป็นจุดอ่อนที่สุด เพราะยังไงก็ต้องถอดหน้ากาก ถ้าหากอยู่ใกล้กันโอกาสติดก็สูงมากๆ เพราะไม่มีอะไรป้องกันเลย แถมยังมานั่งอยู่ใกล้กันอีกต่างหาก ฉะนั้นเวลาทานอาหารขอให้นั่งห่างกันอย่างน้อย 2 เมตร หรือดีสุดคือสั่งไปทานที่บ้าน ต่างคนต่างทานคนเดียว
4) ไม่ไปสถานที่เสี่ยงติดโควิด 19
เช่นที่แออัด อากาศไม่ถ่ายเท ที่ที่มีคนติดเชื้อ ที่ที่มีคนไม่ใส่หน้ากาก
5) ลดกิจกรรมนอกบ้าน ลดกิจกรรมการรวมตัวกัน
ลดการออกจากบ้าน ลดกิจกรรมการรวมตัวกัน เพื่อหยุดหรือลดโอกาสการแพร่กระจายของเชื้อ
ข้อมูลเหล่านี้ หากเพียงช่วยกันอ่าน ช่วยกันแชร์ ช่วยกันบอกต่อก็จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยกันควบคุมการระบาดของ covid-19 ในประเทศของเราได้ ขอขอบคุณทุกท่านค่ะ 🙏
อ้างอิง facebook กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
cover : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
อ่านบทความและข่าวอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่ it24hrs.com
อย่าลืมกดติดตามอัพเดตข่าวสาร ทิปเทคนิคดีๆกันนะคะ Please follow us