ทำไมต้อง Social Distancing ? ทำไมต้อง อยู่บ้าน ลดเชื้อ ? หากคนไทยยังไม่ร่วมมือกัน อยู่บ้าน ลดเชื้อ เพื่อชาติ เพื่อความปลอดภัยของตนเองและที่สำคัญเพื่อลดโอกาสการแพร่กระจายของเชื้อ COVID-19 อย่างเร่งด่วน ก็มีโอกาสที่ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่อิตาลีโมเดล ยิ่งตอนนี้ประชาชนจำนวนมากกลับภูมิลำเนากันแล้ว หลังจากทางกรุงเทพมหานคร ประกาศปิด 26 สถานที่เสี่ยงชั่วคราว ป้องกันโควิด – 19 ซึ่งอาจทำให้ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างมากที่เราควรจะต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้อง และร่วมมือกันลดการเดินทาง ลดการเคลื่อนย้าย เพื่อเป็นการลดโอกาสในการแพร่กระจายเชื้อ COVID-19 ไปสู่คนในครอบครัวและชุมชนของตัวเอง
ทำไมต้อง Social Distancing ? ทำไมต้อง อยู่บ้าน ลดเชื้อ ?
ข้อมูลจาก รศ.ดร.พญ.ภัทรวัณย์ วรรณารัตน์ จากสำนักข่าวเนชั่น วันที่ 20 มี.ค. 2563 กล่าวว่า “จากตัวเลขผู้ป่วยที่พุ่งแตะระดับ 33% เทียบเคียงกับประเทศที่ระบาดรุนแรง หากคนไทยไม่ร่วมล็อกดาวน์ตัวเองอยู่กับบ้าน สถิติอาจทำให้ผู้ป่วยพุ่งสูงถึง 1,000 คน ใน 4 วันนี้ แตะ 1 หมื่นคนใน 14 วัน”
33% มีความหมายอย่างไร? ตัวเลขนี้หมายถึง ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเฉลี่ยในอัตรา 33% ต่อวัน จากตัวเลขนี้เราสามารถนำมาลองคำนวณคาดการณ์จำนวนผู้ติดเชื้อล่วงหน้าได้ดังนี้
ยอดผู้ติดเชื้อวันที่คาดการณ์ = ยอดผู้ติดเชื้อปัจจุบัน x (อัตราการเพิ่มของผู้ติดเชื้อต่อวัน ยกกำลัง จำนวนวันที่ผ่านไป)
ตัวอย่างเช่น ยอดผู้ติดเชื้อ ณ วันที่ 18 มีนาคม 2563 = 212 คน ถ้าอัตราการเพิ่มของผู้ติดเชื้อ = 33% ใกล้เคียงกับประเทศที่ระบาดหนัก เราต้องการทราบว่ายอดผู้ติดเชื้อในวันที่ 13 เมษายน 2563 ซึ่งนับไปอีก 26 วันข้างหน้า ว่าจะเป็นเท่าไหร่
ยอดผู้ติดเชื้อวันที่คาดการณ์ = 212 x (1.33 ^ 26) = 351,948 คน
นั่นหมายความว่าถ้าพวกเราปล่อยให้อัตราการเพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 33% ไปเรื่อยๆเมื่อถึงวันที่ 14 เมษายน 2563 ประเทศไทยจะมียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงถึง 351,948 คน
และในสถานการณ์ที่คนกรุงเทพกลับภูมิลำเนาจำนวนมากและเรายังไม่หยุดเคลื่อนย้ายเช่นนี้ โอกาสที่อัตราการเพิ่มของยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงกว่า 33% มีความเป็นไปได้มาก อาจส่งผลให้ประเทศไทยมียอดผู้ติดเชื้อมากกว่า 1 ล้านคนได้ในอนาคตอันใกล้นี้
ถ้าหากมีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว จำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วแบบที่คำนวณไปข้างต้นนี้….ก็จะเกิดปัญหา อุปกรณ์ ยา เตียง แพทย์ พยาบาล เครื่องช่วยหายใจ ก็จะไม่เพียงพอต่อการรักษา เพราะมีป่วยพร้อมกันทีละมากๆจนล้น อาการหนักพร้อมกันทีละเยอะๆ ส่งผลให้มีอัตราการเสียชีวิตสูงได้ เพราะทรัพยากรที่มีจำกัด
นี่คือเหตุผลสำคัญว่าทำไมพวกเราจึงต้องช่วยกัน ล๊อกดาวน์ อยู่บ้าน ลดเชื้อ เพื่อชาติ เพื่อลดอัตราการแพร่ระบาดให้อยู่ในเกณฑ์ที่สามารถรับมือได้
การคาดการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย
มหาวิทยาลัยมหิดล นำโดย ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ได้เปิดเผยข้อมูลเพื่อสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในเรื่องของสถานการณ์การระบาดของโควิด-19ในประเทศไทย โดยได้อธิบายถึงกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลของโรคเป็นอย่างไร หลักการในการคาดการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นอย่างไร โดยได้อธิบายไว้ในคลิปวีดีโอ การคาดการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ใน youtube channel Siriraj PR ซึ่งพอจะสรุปเป็นข้อมูลเพื่อความเข้าใจได้ดังนี้
กราฟ 1. แสดงการเก็บข้อมูลช่วง 2 เดือนแรกที่มีการระบาด จะเห็นได้ว่าในช่วงแรกๆการตรวจพบผู้ติดเชื้อยังมีจำนวนน้อยอยู่ (แท่งกราฟสีน้ำเงิน) เฉลี่ยประมาณ 40 คน และจำนวนผู้ติดเชื้อจะเริ่มเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญประมาณช่วงสัปดาห์สุดท้ายของช่วงสองเดือนแรก ซึ่งหลักๆจะมาจากสองกลุ่มใหญ่ได้แก่ กลุ่มสนามมวย และ กลุ่มคนเที่ยวผับ
กราฟ 2 ปัจจุบันโลกเราแบ่งประเภทเกี่ยวกับ COVID-19 ออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
- กลุ่มที่คุมไม่อยู่ – ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มประเทศยุโรป (กราฟซีกบน)
- กลุ่มที่คุมอยู่ – ฮ่องกง ญี่ปุ่น สิงคโปร์ (กราฟซีกล่าง)
ช่วง Golden Period ในวงกลมสีแดง หมายถึง ระยะเวลาของแต่ละประเทศที่จำนวนคนติดเชื้อจะเพิ่มจาก 100 เป็น 200 คน จะเห็นได้ว่าในประเทศกลุ่มที่คุมอยู่อย่าง ฮ่องกง สิงคโปร์ และ ญี่ปุ่น จะใช้เวลาเฉลี่ยมากกว่า 5 วัน แต่ในกลุ่มประเทศที่คุมไม่อยู่ จะใช้เวลาเฉลี่ยอยู่เพียงแค่ประมาณ 3-4 วันเท่านั้น ซึ่งในช่วง Golden Period นี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนได้เลยว่าประเทศนั้นๆจะไปในทิศทางใดระหว่าง กลุ่มที่คุมอยู่ หรือ กลุ่มที่คุมไม่อยู่
กราฟ 3 จากข้อมูลในกราฟ 3 จะเห็นได้ว่าประเทศไทยจะอยู่ในกลุ่ม 3 วัน ที่ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นจาก 100 เป็น 200 ในเวลา 3.5 วัน ซึ่งสถานการณ์ใกล้เคียงกับประเทศเยอรมนีในช่วง Golden Period โดย ณ ปัจจุบันนี้ ประเทศไทยมีอัตราการเพิ่มของผู้ติดเชื้อใกล้เคียง 33% ซึ่งเป็นตัวอัตรการเพิ่มในกลุ่มประเทศที่มีการระบาดหนัก ประเทศไทยกำลังดำเนินไปในทิศทางตามเส้นประสีแดงตามข้อมูลในกราฟ 3 ซึ่งก็สามารถคาดเดาเหตุการณ์ได้ว่าหากประเทศไทยยังไม่สามารถลดอัตราการเพิ่มของผู้ติดเชื้อลงได้ ในเวลาอีกไม่กี่สัปดาห์ประเทศไทยก็จะเข้าสู่สถานการณ์เดียวกับประเทศเยอรมันในปัจจุบัน
กราฟ 4 ถ้าเริ่มจากวันที่ 15 มีนาคม 2563 ที่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19ในประเทศไทย 114 ราย และเมื่อถึงวันที่ 18 มีนาคม 2563 มีผู้ติดเชื้อเพิ่มเป็น 212 ราย ด้วยอัตราการเพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้อที่ 28.3% ซึ่งใกล้เคียง 33% ในประเทศที่มีการระบาดหนักอย่างเช่น อิตาลี เยอรมัน เป็นต้น ประกอบกับสถานกาณณ์ที่คนไทยยังคงไม่ตระหนักไม่ช่วยกัน อยู่บ้าน ลดเชื้อ ปฎิบัติตัวให้ถูกต้องในการดูแลป้องกันตัวเอง เพียงเวลาไม่กี่สัปดาห์ยอดผู้ติดเชื้อของไทยอาจจะพุ่งสูงถึง 351,948 ราย
แต่ถ้าคนไทยตระหนักถึงความรุนแรงของสถานการณ์การระบาดโควิด-19 และร่วมด้วยช่วยกัน ลดอัตราการเพิ่มของผู้ติดเชื้อให้ต่ำว่า 20% ต่อวัน ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าประเทศไทยก็จะมีผู้ติดเชื้อเพียงประมาณ 24,269 ราย นี่คือเป้าหมายหลักของประเทศไทยในขณะนี้
ข้อมูลดังกล่าวข้างต้นที่ทางคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้อธิบายไว้นี้ ก็เพื่อให้ประชาชนคนไทยได้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย จะเห็นได้ว่าเป้าหมายสำคัญของประเทศไทยในขณะนี้ก็คือ การช่วยกันลดอัตราการเพิ่มของผู้ติดเชื้อให้อยู่ในระดับที่น้อยกว่า 20% ให้ได้ ซึ่งความสำเร็จของเป้าหมายนี้จะขึ้นอยู่กับการร่วมมือกันของคนไทยทุกคน และหนึ่งในหลักปฎิบัติที่สำคัญที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายนั่นก็คือ “การเพิ่มระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) “
การเพิ่มระยะห่างทางสังคม Social Distancing คืออะไร
- หลักการ – “โรคติดต่อ จะไม่ติดต่อ ถ้าคนไม่ติดต่อกัน”
- หลักปฎิบัติ – รักษาระยะห่างระหว่างกันอย่างน้อย 2 เมตร ในการพูดคุยสื่อสารกัน เพราะ การพูดกันปกติจะมีละอองน้ำลายกระจายออกมาสูงถึง 3,000 ละอองในระยะ 1 เมตร โอกาสจะติดเชื้อจึงม่ีได้มาก และถ้าจะให้ปลอดภัยยิ่งขึ้นควรใส่หน้ากากอนามัยป้องกันไว้ด้วย
- ข้อควรระวัง – การอยู่ในที่ชุมชน หรือ การทำกิจกรรมกับคนหมู่มาก จะเป็นการยากในการทำ Social Distancing จึงควรหลีกเลี่ยงสถานการณ์ดังกล่าว
- ผลล้พธ์ – เมื่อเชื้อไวรัส COVID-19 เข้าสู่คนไม่ได้ เพราะคนทำ Social Distancing อย่างเต็มที่ เชื้อก็จะค่อยๆลดจำนวนลง คนที่เจ็บป่วยไม่รุนแรง จะเกิดภูมิต้านทานต่อเชื้อได้ และจะควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ได้ในที่สุด นี่คือเหตุผลและที่มาของมาตรการ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ”
การอยู่บ้านก็ถือเป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ได้อย่างดีที่สุด แต่ถ้าพูดในมุมของธุรกิจแล้ว หลายคนก็อาจจะกังวลว่าจะทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงัก ซึ่งปัญหานี้ก็สามารถจัดการด้วยวิธีการทำงานจากที่บ้าน หรือที่เรียกกันว่า Work from Home นั่นเอง
คำเตือนจากชาวอิตาลี โปรดอ่านก่อนประเทศไทยจะเข้าสู่ “อิตาลีโมเดล”
เฟสบุ๊กเพจ ห้องสมุดฟลิ้นต์ ได้เปิดเผยเรื่องราวคำเตือนจากชาวอิตาลีท่านหนึ่งที่อยากให้สติกับชาวโลก ถึงความผิดพลาดของขาวอิตาลี ที่ทำให้สถานการณ์ COVID-19 บานปลายและรุนแรงจนเกินจะควบคุมได้ ลองอ่านกันดูแล้วจะเข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้มากยิ่งขึ้น
“พวกเราเป็นชาวอิตาลี อาศัยอยู่ในเมืองมิลานอยากจะเล่าให้ท่านฟังว่า……ชีวิตพวกเราเป็นอย่างไรบ้างในตอนนี้ภายใต้วันเวลาอันยากลำบากที่สุดจะพรรณาอยากให้ทุกท่านรับรู้ถึงความผิดพลาดของพวกเราอันมีผลตามมาให้พวกเราในยามนี้
ขณะนี้พวกเราถูกกักบริเวณ พวกเราไม่มีอิสรภาพแม้แต่จะลงไปเดินเตร็ดเตร่บนท้องถนนเพราะตำรวจจะตามจับพวกเราในฐานะที่ไม่ยอมอยู่ในที่กักกัน ธุรกิจแทบทุกอย่างปิดตัวลงไม่ว่าจะเป็นร้านค้าใหญ่เล็ก ห้างสรรพสินค้า โรงหนัง โรงละคร ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวบนท้องถนน มันเหมือนเมืองร้างไม่มีผิดหรือนี่คือวันสิ้นสุดของโลกมนุษย์เรา
อิตาลี เปลี่ยนตัวเองจากช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวากลับกลายเป็นเมืองที่มืดมนเหมือนอยู่ในยามสงครามมันเต็มไปด้วยความสะพรึงกลัวในทุกแห่งหน ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตพวกของพวกเราจะต้องเดินมาถึงจุดนี้ ผู้คนล้วนพากันสับสนวิตกกังวลไปหมดความผิดอันมหันต์เกิดจากจุดเริ่มต้น
คนที่ติดเชื้อโควิด-19 กลุ่มแรกๆใช้ชีวิตชิวๆแบบปกติ ทั้งๆที่มีแบบอย่างที่น่ากลัวให้เห็นแล้วจากทางฝั่งเอเชียพวกเราไม่ใส่ใจ คงเดินเตร็ดเตร่อยู่ทุกสถานที่ ทุกซอกซอย ทำงาน กินข้าว ดูหนังดูละคร เชียร์กีฬา ทุกอย่างดำเนินไปอย่างไม่ระมัดระวัง นี่คือความผิดพลาดอันมหันต์ ที่ทำให้เหตุการณ์กลายเป็นไฟลามทุ่งในวันเวลาต่อมา
เราอยากเตือนท่านจากใจ จงรีบตื่นตัวตั้งแต่เริ่มแรกเพื่อปกป้องตัวคุณและคนที่คุณรักและห่วงใยเชื้อโรคตัวนี้อันตรายมากๆถึงมากที่สุด มันพร้อมจะแทรกตัวเข้าไปในร่างเรา เราไม่สามารถมองเห็นมัน แต่มันอยู่ได้แทบทุกพื้นที่ที่เราสัมผัส ที่นี่เรามีคนตายวันละร่วมๆสองร้อยคนและมันก็ทำท่าจะบานปลายเพิ่มมากขึ้น
ไม่ใช่เพราะเราไม่มียาดีในเมืองมิลาน (แต่เราเชื่อว่าเรามียาที่ดีที่สุดในโลกด้วยซ้ำไป) นั่นเพราะสถานที่เราไม่เอื้ออำนวย สำหรับคนป่วยมากมายขนาดนี้ คุณหมอจะเป็นคนตัดสินใจว่าจะให้ใครอยู่ใครตาย ฟังดูโหดร้ายเหลือหลาย แต่คุณหมอและสถานที่ไม่สามารถรองรับได้จริงๆ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษพวกเรากันเองที่ไม่ยอมใส่ใจทั้งๆที่ภัยพิบัติอันร้ายแรงที่สุดของมวลมนุษย์มายืนอยู่ตรงหน้าแล้วโปรดเรียนรู้จากความผิดพลาดของเรา เราเป็นเพียงประเทศเล็กๆแต่เกรงว่าเรื่องนี้จะจบด้วยโศกนาฏกรรมอันใหญ่หลวงในที่สุด
โปรดฟังให้ดี……
- อย่าไปในสถานที่ที่มีผู้คนหนาแน่น
- พยายามใส่หน้ากากอนามัยเมื่อออกไปข้างนอก
- ล้างมือให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
- ทิ้งช่วงห่างอย่างน้อยหนึ่งเมตรเมื่อต้องสื่อสารหรือใกล้ชิดกับผู้คน
- ฟังคำเตือนจากกระทรวงสาธารณสุขให้มากๆ
- แล้วอย่าลืมกินวิตามินซีสร้างภูมิคุ้มกันทุกๆวัน
อิตาลี ประเทศที่ถูกโดดเดี่ยวมันหมายถึงประชากรหกสิบล้านคนถูกกักกันบริเวณ สิ่งเหล่านี้เลี่ยงได้แน่ถ้าเราไม่ชะล่าใจแต่แรกแล้วพวกเราก็ไม่มีทางรู้ว่า วันเวลาที่เลวร้ายครั้งนี้จะผ่านพ้นไปได้เมื่อไหร่แม้แต่ชีวิตของเราเองและคนที่เรารัก สุดท้ายจะอยู่รอดปลอดภัยผ่านพ้นมันไปได้หรือเปล่าพวกเราไม่รู้ชะตากรรมจริงๆ โปรดส่งต่อเพื่อเตือนสติกัน ก่อนที่พวกคุณจะเพลี้ยงพล้ำเหมือนอิตาลี ”
ห้องสมุดฟลิ้นท์ “ขจรศักดิ์” แปลและเรียบเรียง จากบทความของคุณ Jsca
จากคำเตือนของชาวอิตาลี มีอยู่ตอนหนึ่งน่าสนใจมากตรงที่บอกว่า “คนที่ติดเชื้อโควิด-19 กลุ่มแรกๆใช้ชีวิตชิวๆแบบปกติ ทั้งๆที่มีแบบอย่างที่น่ากลัวให้เห็นแล้วจากทางฝั่งเอเชียพวกเราไม่ใส่ใจ คงเดินเตร็ดเตร่อยู่ทุกสถานที่ ทุกซอกซอย ทำงาน กินข้าว ดูหนังดูละคร เชียร์กีฬา ทุกอย่างดำเนินไปอย่างไม่ระมัดระวัง นี่คือความผิดพลาดอันมหันต์ ที่ทำให้เหตุการณ์กลายเป็นไฟลามทุ่งในวันเวลาต่อมา” ณ วันนี้พวกเราคนไทยอยู่ในจุดที่ชาวอิตาลีเคยอยู่ โดยที่พวกเขานั่นล่ะคือแบบอย่างที่น่ากลัวให้พวกเราคนไทยได้เห็น
ถึงเวลาแล้วที่พวกเราคนไทย ควรจะต้องหันมาร่วมแรงร่วมใจกัน ฝ่าวิกฤตนี้กันไปให้ได้ เพียงแค่ช่วยกันลดการเคลื่อนย้าย ลดการออกไปพบปะกัน ดูแลตัวเองให้ดี ด้วยการใส่หน้ากากอนามัยเมื่อออกจากบ้าน หรือไปในที่ที่ต้องพบปะกับผู้คน รักษาระยะห่างกัน 1-2 เมตร ไม่ใช้ของร่วมกับผู้อื่น ลดการสัมผัสสิ่งของที่เสี่ยงต่อการมีเชื้อ COVID-19 (เช่นการกดลิฟท์ , รถสาธารณะ) ล้างมือบ่อยๆ ปิดโอกาสตัวเองที่จะรับเชื้อ COVID-19 และลดโอกาสการกระจายตัวของเชื้อด้วย
ถ้าทุกคนช่วยกันปิดตัวเอง อัตรการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 ก็จะลดลง เพียงเวลาไม่นานพวกเราก็จะได้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติเหมือนอย่างประเทศจีน แต่หากพวกเราทุกคนยังคงทำตามใจตัวเองกันอยู่ เราอาจจะได้สบายตอนนี้ แต่จะลำบากอย่างมากในอนาคตอันใกล้ และอาจต้องเกิดความสูญเสียคนใกล้ชิดหรือคนที่เรารักก็เป็นได้
อ้างอิง เพจห้องสมุดฟลิ้นท์, Nation, NST, SirirajPR
Cover iT24Hrs