โนโมโฟเบีย (Nomophobia) คืออะไร – คำที่เราคุ้นเคยกันดีนั่นคือ Phobia (โฟเบีย) แปลว่าความกลัว หรืออาการหวาดกลัวสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป ความจริงคนเราทุกคนมีสิ่งที่กลัวอย่างน้อยคนละ 1 อย่าง สิ่งนั้นอาจจะเป็นสัตว์ สิ่งของ ความมืด ความสูง รู ฯลฯ และความกลัวบางอย่างอาจส่งผลดี เพราะจะทำให้เราหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญกับมัน สามารถลดความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายกับตัวเองได้ด้วย
โรคความกลัวแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลัก
- โรคกลัวเฉพาะบางอย่าง (specific phobia) เป็นความกลัวที่พบได้ทั่วไป เช่น กลัวงู แมลงสาบ กลัวสัตว์เลื้อยคลาน กลัวเลือด กลัวความสูง กลัวความมืด
- โรคอะโกราโฟเบีย (agoraphobia) เป็นกลุ่มอาการกลัว (cluster of phobias) สถานการณ์บางอย่างที่อาจจะช่วยเหลือได้ยาก เช่น กลัวที่เบียดเสียด กลัวที่แคบ กลัวการขึ้นเครื่องบิน กลัวห้องที่ไม่มีหน้าต่าง เป็นต้น
- โรคกลัวกิจกรรมทางสังคม (social phobia) รู้สึกกลัวเมื่อตกเป็นที่สนใจของผู้อื่น เช่น การกลัวการพูดหน้าชั้น กลัวการพูดผ่านไมโครโฟน
โนโมโฟเบีย (Nomophobia) คืออะไร
แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร รองปลัดและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) อธิบายคำว่า โนโมโฟเบีย (Nomophobia) คืออะไร ในนิยามทางการแพทย์นั้นไม่ใช่โรค แต่เป็นกลุ่มอาการ เพราะมีการสังเกตพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของคนหรือสังคม เวลามีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นมักจะมีคำเรียกเฉพาะ อย่างเช่น อาการติดสมาร์ทโฟน เป็นไปตามเทคโนโลยีที่เข้ามาใหม่ ซึ่งคำว่า “โนโม” เป็นคำที่ใช้เรียกแทนโมบายโฟน ส่วนคำว่า “โฟเบีย” แปลว่ากังวลอย่างมากต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือกังวลมากเกินกว่าเหตุ จึงเรียกรวมกันเป็น “โนโมบายโฟนโฟเบีย” แต่เราเรียกกันสั้น ๆ ว่า “โนโมโฟเบีย” มาจากการที่โทรศัพท์มือถือเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ของชีวิตประจำวัน และเราเกิดความกังวลใจว่าถ้าไม่มีโทรศัพท์แล้วจะทำอย่างไร ควรรีบเช็กตัวเองก่อนเกิดผลกระทบ
อาการแบบไหนเข้าข่าย โนโมโฟเบีย (Nomophobia) อาการกลัวขาดโทรศัพท์มือถือ
- พกโทรศัพท์ติดตัวตลอดเวลา จะมีความกังวลเมื่อมือถือไม่ได้อยู่กับตัว
- เช็คโทรศัพท์ โซเชียลมีเดีย หรือแอปพลิเคชันตลอดเวลาถึงแม้จะไม่มีเรื่องด่วนก็ตาม
- จับโทรศัพท์ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นจนถึงก่อนนอน
- เมื่อหาโทรศัพท์ไม่เจอจะเครียด วิตกกังวลมากกว่าหาของอย่างอื่นไม่เจอ
- เล่นโทรศัพท์ตลอดเวลาในขณะที่ทำกิจกรรมอื่น ๆ เช่น กินข้าว เข้าห้องน้ำ ขับรถ
- กลัวโทรศัพท์หายแม้จะเก็บไว้ในที่ปลอดภัยแล้วหรือคอยคลำกระเป๋ากางเกงหรือกระโปรงตลอดว่าโทรศัพท์อยู่ข้าง ๆ ตัว
- ไม่เคยปิดโทรศัพท์มือถือ
- เล่นหรือคุยกับคนในโทรศัพท์มากกว่าคนรอบข้าง
พญ.ทิพาวรรณ บูรณสิน แพทย์ประจำสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ (รพ.เด็ก) กล่าวว่า โมโนโฟเบีย (Nomophobia) มาจากคำว่า “no mobile phone phobia” เป็นศัพท์ที่หน่วยงานวิจัยทางการตลาดขนาดใหญ่ (YouGov) บัญญัติขึ้นเมื่อปี 2010 ที่ใช้เรียกอาการที่เกิดจากความหวาดกลัว วิตกกังวลเมื่อขาดโทรศัพท์มือถือ
อาการติดโทรศัพท์มือถือจะส่งผลต่อการปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง และสังคม โดยเฉพาะด้านสุขภาพร่างกาย ซึ่งจะส่งผลให้มีอาการต่างๆเหล่านี้
- นิ้วล็อก เกิดจากการใช้นิ้ว กด จิ้ม สไลด์ หน้าจอเป็นระยะเวลานาน
- อาการทางสายตา เช่น ตาล้า ตาพร่า ตาแห้ง เกิดจากเพ่งสายตาจ้องหน้าจอเล็ก ๆ ที่มีแสงจ้านานเกินไป อาจส่งผลให้วุ้นในตาเสื่อม จอประสาทตาเสื่อม
- ปวดเมื่อคอ บ่า ไหล่ จากการก้มหน้า ค้อมตัวลง ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก หากเล่นนาน ๆ อาจมีอาการปวดศีรษะตามมา รวมไปถึงหมอนรองกระดูกเสื่อมสภาพก่อนวัยอันควร
- โรคอ้วน แม้พฤติกรรมจะไม่ส่งผลโดยตรง แต่การนั่งทั้งวันโดยไม่ลุกเดินไปไหนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคอ้วนและโรคเรื้อรังอื่น ๆ ได้
แต่ก็มีบางคนที่มีอาการกลัวอย่างมากจนส่งผลเสียให้ตัวเอง ทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเสียสุขภาพทั้งทางจิตใจและทางร่างกาย ส่งผลกระทบถึงหน้าที่การงาน ซึ่งอาการนี้อาจเข้าข่ายโรคโฟเบีย หรือเป็นความผิดปกติทางจิตเวชอย่างหนึ่ง สาเหตุของการกลัวของแต่ละคนไม่มีตายตัว อาจจะเกิดจากปมในอดีต เกิดจากความไม่สมดุลของสารเคมีบางอย่างในสมอง เกิดจากพันธุกรรม และพฤติกรรมของคนในครอบครัว บางอาการกลัวเป็นสิ่งที่แปลกและไม่น่ากลัวจนคนทั่วไปอาจจะไม่เชื่อและคิดว่าเป็นเรื่องตลก แต่สำหรับคนที่กลัวจริง ๆ เราไม่มีทางเข้าใจได้เลยว่ามันอาจจะหนักกว่าที่คิด เพราะฉะนั้นควรเลี่ยงการแกล้งคนอื่นจากอาการกลัวเหล่านั้นจะดีกว่า
อ้างอิง Bumrungrad, Mahidol, Thaihealth
Cover iT24Hrs