จิตแพทย์แนะวิธีรับมือโควิด-19 จัดการความเครียดด้วยความเข้าใจ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ตอนนี้ สิ่งที่ต้องดูแลไม่แพ้กับการดูแลตัวเองไม่ให้ติดเชื้อโควิด-19 นั่นก็คือ การดูแลสุขภาพจิตของตัวเราเองให้เป็นปกติ เพราะทุกวันนี้จะมีการรายงานอัปเดตสถานการณ์ COVID-19 แทบทุกชั่วโมง การรับรู้ข่าวสารมากเกินไปก็จะก่อให้เกิดความกังวลจนเกิดความเครียด ส่งผลให้เกิดภาวะทางจิตได้ ซึ่งก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาต่างๆตามมาอีกมากมาย ที่จะเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายยิ่งขึ้น และก่อนจะถึงจุดนั้นเราควรทำความเข้าใจถึงวิธีรับมือโควิด-19 ที่ถูกต้องกันเสียก่อน โดยในเรื่องนี้ แพทย์หญิง อภิสมัย ศรีรังสรรค์ (หมอเบิร์ท) ผู้อำนวยการศูนย์จิตรักษ์ โรงพยาบาลกรุงเทพ ได้แนะนำวิธีจัดการความเครียดรับมือโควิด-19 ไว้ดังนี้
จิตแพทย์แนะวิธีรับมือโควิด-19 จัดการความเครียด
26 มีนาคม 2563 รัฐบาลประกาศพรก.ฉุกเฉิน คิดไม่ถึงว่าเราจะมีวันนี้ ถูกจำกัดให้ซื้อแอลกอฮอล์เจลชนิดขวดเล็กได้แค่คนละสองขวด น้ำยาทำความสะอาดพื้น และไข่ไก่ขาดตลาด
ในวันที่ได้รับของขวัญจากคนไข้เป็นหน้ากากอนามัย หลังจากบอกปฏิเสธคนไข้ไปว่าไม่เป็นไรหมอมีอยู่ 3 อันแบบซักใช้ได้คนไข้ยังยืนยันว่าขอให้หมอรับไว้เถิด (ซาบซึ้งจริงๆ ขอบคุณมาก)
ปกติเมื่อจิตแพทย์พบผู้ป่วยที่มีอาการกังวลเรื่องความสะอาดจนต้องล้างมือบ่อยๆ พกแอลกอฮอล์เช็ดปุ่มกดในลิฟท์ หรือลูกบิดประตูเรามักจะนึกถึงโรคย้ำคิดย้ำทำ Obsessive Compulsive Disorder(OCD) แต่ตอนนี้อะไรก็ไม่แน่ไม่นอน ทั้งหมอทั้งคนไข้ล้างมือเช็ดแอลกอฮอล์กันจนมือเหี่ยวแห้งไปตามๆกัน คุยกันไปมาก็แชร์โลเคชั่นกันว่าร้านไหนยังมีหน้ากากฯขายอยู่
คนไข้บอกว่าหมอต้องออกไปห้างไกลๆหน่อยแถวๆปริมณฑล ในเมืองหมดนานแล้ว นี่คือบทสนทนาตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม คนไข้อีกรายซื้อตู้แช่แข็งกักตุนอาหารสำเร็จรูปเพราะที่ทำงานมีคำสั่งให้ work from home คนไข้รายหนึ่งบอกว่าเรามีโอกาสเสี่ยงสัก 10% ที่จะเป็นโรคติดเชื้อ แต่เรามีโอกาส 100%เป็นโรคประสาทแดก และอีกไม่นาน 1,000% ไม่มีจะแดก
เราลองมาดูสักนิดว่าเราจะช่วยกันรับมือ ดูแลจิตใจและผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกันอย่างไร
1 ผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพจิต(Mental Health) อยู่เดิมอาการอาจกำเริบรุนแรงในช่วงนี้
ก่อนเกิดวิกฤติ Covid19 คนจำนวนมากมีภาวะเครียดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว องค์การอนามัยโลกรายงานเมื่อต้นปี 2020 ว่าทั่วโลกมีคนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าประมาณ 264 ล้านคน ประเทศไทยพบอัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มจากปี 2560 คือ 4.94 ต่อประชากรแสนคนเป็น 5.33 ต่อประชากรแสนคนในปี 2561 นอกจากนี้ยังมีโรควิตกกังวลซึ่งในสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียวมีรายงานผู้ป่วยวิตกกังวลโดย the Anxiety and Depression Association of Americaสูงถึง 18.1 % ของประชากรหรือประมาณ 40 ล้านคน
และยังไม่นับรวมรายที่มีปัญหาติดแอลกอฮอล์ (ปล.อย่าเรียกว่าติดเหล้าเพราะคนไข้มักบอกว่า…หมอ…ผมไม่ได้ดื่มเหล้าครับผมดื่มเบียร์) เป็นที่แน่นอนว่าเมื่อวิกฤติ Covid19 เข้ามาผู้ป่วยเหล่านี้อาจมีอาการกำเริบ หรืออาการแย่ลงแม้ยังได้รับการรักษาอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นหากคุณหรือคนใกล้ชิดเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มผู้ป่วยหรือสงสัยว่าจะป่วยอยู่ก่อน ช่วงนี้ควรพบจิตแพทย์เพื่อประเมินและรักษาอย่างเหมาะสม หรือหากมีนัดสม่ำเสมออยู่แล้วก็ไม่ควรหยุดเพราะอาจนำไปสู่อาการรุนแรงและเป็นอันตรายได้ ปัจจุบันมีการให้บริการการรักษาทางไกล (E-Mental Health) ทำให้สะดวกมากขึ้น
2 ความรู้สึกกังวลที่เกิดขึ้นเป็นเป็นกลไกธรรมชาติของมนุษย์ในการเผชิญวิกฤติ
ความเครียดเป็นกลไกโดยธรรมชาติที่ช่วยให้มนุษย์เตรียมตัว วางแผนและรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้ามีใครสักคนที่ไม่รู้สึกเครียดเลย ชิลล์มากใครเค้ากลัวติดเชื้อกันอย่างไรก็ไม่สะทกสะท้าน รัฐบาลประกาศอะไรออกมาก็ไม่รับรู้คนกลุ่มนี้ต่างหากที่ผิดปกติและอาจนำพาไปสู่ความเสี่ยงมากมายทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
ดังนั้นการที่พวกเรารู้สึกเครียด กังวล กลัว แพนิกขอให้รู้ว่าดีแล้ว มันควรจะเป็นอย่างนั้นเพื่อที่เราจะได้ขวนขวายหาความรู้หาข้อมูลมาประกอบการตัดสินใจ มีการวางแผนและเตรียมการ
3 ในสถานการณ์ COVID-19 คุณมีอาการเหล่านี้หรือไม่ CDC สหรัฐฯแนะนำให้สังเกตอาการเหล่านี้
อารมณ์เปลี่ยนแปลงแปรปรวน มีความรู้สึกกลัว เครียดกังวล หรืออาจจะรู้สึกเบื่อเฉยชา หรือหงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย มีปัญหานอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท ฝันร้ายต่อเนื่องเรื้อรัง พฤติกรรมการกินผิดปกติบางรายกินไม่ลง บางรายช่วงนี้กินมากผิดปกติ (อยู่บ้านก็ดูแต่อาหารดิลิเวอรี่) รู้สึกไม่กระปรี้กระเปร่า ไม่สดชื่น เฉื่อยชาลง ลดกิจกรรมลงอย่างชัดเจน เบื่อ ไม่อยากทำอะไร สมาธิจดจ่อไม่ดี หลงๆลืมๆทำงานบกพร่อง การตัดสินใจเสีย บางคนดื่มแอลกอฮอล์หนักขึ้น หรืออาจมีการสูบบุหรี่หรือใช้สารเสพติดมากขึ้นเพราะรู้สึกเครียด
ผู้ป่วยที่มีโรคทางกายอยู่แล้วเช่นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไต โรคหัวใจในระยะนี้อาการอาจกำเริบแปรปรวน อาจมีอาการปวดท้อง ปวดหัว ปวดตามตัวหรือมีผื่นขึ้น อาจมีอาการแพนิคเริ่มรู้สึกท้อแท้หมดหวัง รู้สึกไร้ค่า ไม่อยากมีชีวิตอยู่
สิ่งสำคัญคือคนจำนวนมากไม่ตระหนักว่ามีความผิดปกติด้านอารมณ์ เมื่อไม่รู้ตัว ก็ไม่ได้จัดการอย่างถูกต้องจนอาจส่งผลกระทบกับประสิทธิภาพในการทำงาน สมาธิไม่ดี ทำงานบกพร่องหรืออารมณ์แปรปรวนจนมีปัญหาความสัมพันธ์ทั้งเรื่องส่วนตัวและกับเพื่อนร่วมงาน ความเครียดสะสมยังอาจนำไปสู่การตัดสินใจผิดพลาดนำชีวิตดิ่งลงเหวได้โดยง่าย
4 สาเหตุที่พบบ่อยที่ผู้ป่วยที่มาพบจิตแพทย์ระบุว่า โควิด-19 ทำให้เครียดระดับสูง
- กลัวการติดเชื้อ นับได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เราไม่สามารถแน่ใจได้ว่าที่ไหนปลอดภัย ดูเหมือนทุกๆที่สามารถเกิดการแพร่เชื้อได้หมด เราอาจเกิดความรู้สึกหวาดระแวงคนรอบข้าง คนใกล้ตัวแม้แต่คนที่ดูปกติที่สุด แข็งแรงร่าเริงดีก็สามารถกลายเป็นผู้ติดเชื้อแบบไม่มีอาการและแพร่เชื้อได้โดยง่ายดาย เราระแวงแม้แต่ตัวเอง พอมีอาการไอแห้งๆ มีคัดจมูกนิดหน่อยก็เริ่มวิตกจริตไม่แน่ใจว่าเราไปรับเชื้อมาแล้วหรือเปล่าหรือจะต้องไปตรวจหาเชื้อดีมั้ย ค่าตรวจราคาเท่าไร คือกลัวไปหมด
- สถานการณ์เปลี่ยนแปลงรายวัน มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น นโยบายรัฐบาลปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์เกือบทุกวัน วันนึงเราอาจไปทำงานปกติ วันรุ่งขึ้นที่ทำงานเราถูกปิด เมื่อวานยังไปเดินห้างกินข้าวทองหล่อวันนี้ประกาศปิดห้างปิดสถานบริการ ยิ่งบางคนติดตั้งแอพลิเคชั่นติดตามข่าวทุกหนึ่งชั่วโมง หรือยิ่งหนักกว่าคือมีเสียงเตือนทุกครั้งที่มีรายงานผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ยิ่งตามข่าวมากๆก็ยิ่งอาการหนัก เห็นคนเค้าแห่ซื้อมาม่าก็อดไม่ไหวไปกักตุนกับเค้าบ้าง
- นอกจากกลัวติดเชื้อ ทุกคนยังมีความกังวลสารพัดเช่นเรื่องงานกลัวว่าสถานการณ์ที่แย่รายวันจะส่งผลกระทบให้เราต้องตกงาน พอฟังข่าวปิดโรงงาน สายการบินหยุดบิน บริษัทปรับลดจำนวนพนักงานก็หวั่นๆว่ามันจะมาถึงเราสักวันมั้ยนะ พอรัฐบาลประกาศให้โรงเรียนปิดพ่อแม่หลายคนลำบากหนัก ต้องหาทางดูแลลูกหลานกันเอง บางคนก็กระเตงลูกไปเลี้ยงในที่ทำงานบ้าง ส่งให้พ่อแม่ญาติพี่น้องช่วยบ้างวุ่นวายกันไปหมด บางคนอาจเป็นผู้นำองค์กรก็ต้องเครียดกังวลว่าจะนำพาองค์กร ลูกน้องลูกจ้างผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกันอย่างไรให้เจ็บตัวน้อยที่สุด ความเครียดจากการติดตามข่าวร้ายรายวันก็สะสมเป็นขยะโดยที่เราไม่รู้ตัว
- สิ่งที่ทำให้ทุกคนเครียดสูงสุดคือการที่เราไม่มีทางรู้ได้ว่าสถานการณ์นี้จะเนิ่นนานอีกสักเท่าไร บางคนพยากรณ์ว่าการระบาดจะยืดยาวถึงเดือนกันยา ตุลา บ้างก็คาดว่าอาจจะยืดยาวไปจนถึงปีหน้า เศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบอีกยาวแค่ไหน เราจะเตรียมพร้อมอย่างไร ในยุคที่เราเผชิญกับสึนามิ แม้ความเสียหายจะใหญ่หลวงประมาณมูลค่ามิได้เรากลัวการเกิดคลื่นสึนามิซ้ำอยู่แค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ จากนั้นก็เป็นการเดินหน้าฟื้นฟูบ้านเมืองเรียกคืนขวัญและกำลังใจ แต่ปัจจุบันเราไม่สามารถรู้ได้ว่าเหตุการณ์จะยังแย่ลงอีกหรือไม่นี่เราเดินทางมาถึงจุดพีคของการระบาดหรือยัง แม้เราจะร่วมมือกับนโยบายเว้นระยะห่างทางสังคม ปฏิบัติตามรายงานของภาครัฐอย่างเคร่งครัด การแพร่ระบาดก็ยังไม่ยุติในระยะเวลาอันใกล้อยู่ดี
5 การรับมือกับสถานการณ์ COVID-19
- อย่าทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ความเครียดระยะยาวอาจทำให้เกิดภาวะท้อถอย หมดหวังจนนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดได้ง่าย เช่นการทำร้ายตัวเอง ระยะนี้เราเริ่มได้ข่าวคนฆ่าตัวตายเช่นรายหนึ่งเป็นพยาบาลชาวอิตาเลี่ยนฆ่าตัวตายสำเร็จหลังรู้ผลว่าติดเชื้อ การลาออกจากงาน ย้ายที่อยู่ ขายบ้าน หย่าขาดจากคู่สมรส การตัดสินใจผิดพลาดทางธุรกิจ การทะเลาะกับคนใกล้ชิด การกระทบกระทั่งกันในหมู่เพื่อนในระหว่างที่เราเผชิญกับความเครียด อารมณ์ที่ไม่เป็นปกติทำให้เรามีโอกาสตัดสินใจทำสิ่งใดๆโดยไม่รอบคอบ คำแนะนำเบื้องต้นคือระหว่างนี้ไม่ควรมีการตัดสินใจใหญ่ๆทั้งสิ้น เพียงประคับประคองให้ผ่านสถานการณ์แต่ละวันๆไปก่อน รักษาตัวให้ดีอย่าให้ติดเชื้อ ธุรกิจที่ย่อยยับเสียหายเดี๋ยวค่อยว่ากัน ถือคติว่าผ่านไปทีละวัน
- ติดตามข่าวสารเท่าที่จำเป็น อาจเชคข่าวสักวันละครั้งก็เพียงพอแล้ว เลือกรับข่าวสารจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้เช่นการประกาศของรัฐบาล กระทรวงสาธารณสุขเป็นต้น ลดการเสพโซเชียลมีเดียระมัดระวังข่าวปลอม
- ปฏิบัติตามคำแนะนำจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด การเว้นระยะห่างทางสังคม กินร้อนช้อนกลาง ล้างมือ สวมหน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงการสัมผัส
- ตรวจสอบอาการทางร่างกายจิตใจ อารมณ์ของตัวเองสม่ำเสมอ เฝ้าระวังอาการซึมเศร้า การนอนที่ผิดปกติ การดื่มแอลกอฮอล์ที่มากขึ้นหากมีอาการเหล่านี้จนถึงขั้นกระทบศักยภาพ หน้าที่การงานหรือความสัมพันธ์ควรพบแพทย์
- ใช้ชีวิตอย่างปกติและมีคุณค่าแม้อยู่ในสถานการณ์ที่ผิดปกติเราก็ยังจำเป็นต้องดำเนินชีวิตให้เป็นปกติ แม้จะต้องหยุดงานกักตัวอยู่บ้าน 14 วันเราก็สามารถจัดการกิจวัตรแต่ละวันให้มีสุขภาพดีได้ ลองคิดดูว่าหากเราต้องอยู่บ้านต้มมาม่ากินวันละสามมื้อ วันๆไม่ทำอะไรเอาแต่จดจ่ออยู่กับข่าว Covid19 อย่างนี้คงพอเห็นภาพว่าไม่นานคงต้องป่วย
ข้อแนะนำการใช้ชีวิตอย่างปกติ Healthy routine
- กินให้เป็นปกติ ทำอาหารง่ายๆเช่นหุงข้าว ทอดไข่ แม้ไม่หิวถึงเวลาก็ต้องกิน สั่งดิลิเวอรี่บ้างก็ได้ กินมาม่าหรือซุปกระป๋องก็ได้แต่พยายามกินอาหารที่หลากหลายและมีประโยชน์
- นอนให้ปกติ การนอนหลับให้เพียงพอเป็นภูมิคุ้มกันชั้นดีป้องกันไวรัสและยังป้องกันภาวะซึมเศร้าอีกด้วย ปิดโทรศัพท์ ปิดเสียงเตือน ก่อนนอนพยายามผ่อนคลาย อาจสังเกตลมหายใจเข้าและออก
- เชื่อมต่อกับผู้คน แม้เราจะเจอเพื่อนฝูงผู้คนเหมือนแต่ก่อนไม่ได้แต่เรายังสามารถเชื่อมต่อ พูดคุยปรึกษาหารือกันได้ ใช้เทคโนโลยีหรือจะโทรหากัน การแยกตัวโดดเดี่ยวอาจทำให้ความเครียดมากขึ้น
- หากิจกรรมทำอย่าให้ว่าง แม้จะwork from home เราก็ควรทำตัวเหมือนปกติ ตื่นเช้าอาบน้ำแต่งตัว ออกกำลังกายตามยูทูปแทนการไปฟิตเนส ทำงานบ้านทำอาหาร รดน้ำต้นไม้(อยู่คอนโดก็ปลูกไม้กระถางหรือไม้ในร่มได้) การเคลื่อนไหวเป็นยาดีป้องกันภาวะซึมเศร้า แม้สิ่งง่ายๆเช่นการเดินขึ้นลงบันได กระโดดตบ ทำท่ากายบริหารเป็นต้น
- ทำสิ่งที่สนใจงานอดิเรกที่ชอบ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆออกกำลังกายสมอง ใช้ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการทำกิจกรรมในเงื่อนไขสถานการณ์ที่จำกัดเช่นลองวาดรูปภาพด้วยอุปกรณ์เท่าที่มี หรือจะใช้แค่ดินสอกับปากกาก็ได้ ลองอบขนมหรือทำอาหารง่ายๆ ฟังเพลงหรือลองแต่งเพลง เล่นดนตรี ต่อจิ๊กซอว์ ทำงานประดิษฐ์ ฝึกโยคะ หัดเรียนภาษาจีนเป็นต้น
- ฝึกปรับทัศนคติ“อย่าตระหนก อย่ากังวล” ฟังดูง่ายแต่จะทำได้อย่างไร ความรู้สึกแย่เหล่านี้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ยิ่งพยายามไม่คิดความคิดมันก็ผุดขึ้นเอง วกวนอยู่แต่กับความคิดร้ายๆ ความรู้สึกลบๆ
ตามหลักการ Cognitive Behavioral Therapy (CBT) วิธีการจัดการคือ
- ทุกครั้งที่มีความรู้สึกแย่ๆเกิดขึ้นขอให้รู้สึกตัว ให้รู้ว่าวันนี้รู้สึกไม่ดีเลย จิตใจหดหู่กังวลไปหมด หรือรู้สึกโกรธไม่พอใจ บางครั้งรับรู้ได้โดยอาการทางร่างกายที่ผิดปกติ ใจสั่น ปวดหัว นอนไม่หลับ รู้สึกเหนื่อยล้าไม่มีเรี่ยวแรง บางคนหงุดหงิดจนคนรอบข้างเอือมระอาแต่เจ้าตัวกลับไม่รู้สึกตัวใช้เวลาสักวันละห้านาที สำรวจ ทบทวนความคิด ความรู้สึก หรือการตอบสนองทางร่างกายหรือถ้าไม่แน่ใจลองถามคนรอบข้าง คนใกล้ชิดดูก็ได้
- เมื่อรับรู้ถึงความรู้สึกลบ ไม่ต้องพยายามปรับให้เป็นบวก เราไม่ใช่ Super hero บางคนพยายามโลกสวยคิดว่าเหตุการณ์ไม่แย่นักหรอกเดี๋ยวสงกรานต์ก็ดีขึ้นไม่ต้องกังวลมากไปหรือแม้แต่การที่ภาครัฐบอกว่าขอให้มั่นใจ การที่พยายามให้เป็นบวกมากจนเกินไปประชาชนอาจสงสัยได้ว่ามันไม่เป็นความจริง ยิ่งทำให้ไม่มั่นใจเข้าไปใหญ่ หลักสำคัญคือเราควรอยู่บนพื้นฐานความจริง อยู่แบบกลางๆ (Neutral) คือมีทั้งลบและบวกแต่ละวันข่าวร้ายก็มีข่าวดีก็มากอย่างนี้เป็นต้นเพราะสถานการณ์นี้แย่จริงๆ เมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมปี ’54 เราเห็นบรรยากาศ “หนีน้ำ” ขึ้นที่สูง แต่หนี Covid ไม่รู้จะหนีไปที่ไหน ต่างประเทศก็ไม่มีที่ไหนปลอดภัย เมื่อรู้สึกแล้วก็แค่รับรู้ว่ามันเป็นความรู้สึก ไม่ต้องไปหงุดหงิดซ้ำซ้อน ผิดหวังในตัวเองอีกว่าทำไมเราต้องเครียดไปขนาดนี้ ทำไมไม่ดีขึ้นสักที กดดันตัวเองเรียกว่า worry about worry คือเกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นโดยธรรมชาติแล้วยังไปรู้สึกชอบใจไม่ชอบใจกับความคิดหรือความรู้สึกนั้นๆ เสียพลังงานถึงสองต่อ
- ยอมรับว่าความผิดพลาด ความล้มเหลวเป็นสิ่งที่อาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในสถานการณ์ที่ยากลำบากอย่างนี้ บางบริษัทปิดตัวลง ปรับพนักงานออก ความรู้สึกผิดอาจทำให้หลายคนรู้สึกกัดกร่อน ตำหนิตัวเองว่าเราบริหารกิจการล้มเหลว เราไม่เก่งเราไม่ดี หรือตำหนิตนเองที่ไม่สามารถปกป้องลูกๆให้ปลอดภัย ไม่มีเวลาไปดูแลพ่อแม่ที่ถือเป็นกลุ่มเสี่ยง หลายคนพยายามอย่างที่สุดที่จะทำให้หน้าที่ทุกอย่างดำเนินไปได้อย่างดีที่สุดแต่สุดท้ายก็ยังดีไม่พอแม้แต่หมอ พยาบาลอาจดูแลผู้ป่วยอย่างเต็มกำลัง ขณะเดียวกันก็รู้สึกแย่ที่ไม่มีเวลาให้กับลูก ไม่ได้มีโอกาสไปดูแลคุณพ่อคุณแม่ซึ่งอาจจะเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ ในที่สุดผู้ป่วยที่ดูแลก็ยังอาการแย่ลง เราต้องยอมรับว่าแม้เราพยายามอย่างเต็มที่ก็ยังอาจเกิดข้อผิดพลาดยังมีผู้ป่วยติดเชื้อหรือเสียชีวิต หรือบริษัทที่เราประคับประคองอย่างถึงที่สุดก็ยังไปไม่รอด สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ไม่ใช่ความผิดของใครคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่เวลาที่จะมาตำหนิตัวเอง หรือสำรวจว่าใครบกพร่อง ทำไมไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้ณ เวลานี้ทุกคนต้องการกำลังใจ แม้ผลลัพท์จะออกมาอย่างไรเราจะไม่มามัวเสียดายเพราะเราตระหนักว่าในสถานการณ์ที่ข้อจำกัดต่างๆมีมากมายเราได้พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว
- Mindfulness ช้าลงช่วยให้เร็วขึ้น ดูเหมือนจะเป็นที่แน่นอนว่าเหตุการณ์นี้ยังคงจะดำเนินไปอีกสักระยะใหญ่คล้ายการวิ่งมาราธอน ดังนั้นการที่เราพยายามเร่งสปีด เพื่อให้จบไวๆ อยากเห็นผลเร็วๆ สุดท้ายเราอาจสะดุดล้มไปไม่ถึงเส้นชัย ในเมื่อเรารู้ว่าเราจะต้องรับมือกับความเครียดระยะยาว เราต้องผ่อนแรงวิ่งแค่พอเหยาะๆ ประคับประคองไปเรื่อยๆ ใช้ชีวิตให้ช้าลงสักนิด ขณะนั่งจิบกาแฟเช้าๆก็สูดดมกลิ่นกาแฟหอมๆ รับรู้สัมผัสอุ่นๆ นุ่มนวลละเลียดสัก 5 วินาที 10 วินาที ขณะทานข้าวไม่ต้องเปิดดูข่าวไม่ต้องคุยกันเรื่อง Covid ลองใช้เวลาสั้นๆรับรู้รสชาดเปรี้ยวๆหวานๆ สัมผัสเส้นก๋วยเตี๋ยวเหนียวๆหนึบๆ ขณะอาบน้ำลองสังเกตอุณภูมิร้อนๆอุ่นๆของน้ำ รับรู้กลิ่นหอมของแชมพูหรือครีมอาบน้ำ พักความคิดสัก 10 วินาทีแล้วค่อยๆนวดเบาๆที่ศีรษะแล้วลองฝึกที่จะจดจ่ออยู่กับวินาทีที่เป็นปัจจุบัน นั่นคือช่วงที่ mind ได้รับการบำบัด take a break หยุดทั้งความคิดลบและบวก ทั้งความรู้สึกดีความรู้สึกแย่ก็ไม่เกิด มีแค่ร้อนๆเย็นๆ เสียงน้ำ กลิ่นสบู่ เทคนิคนี้เรียกว่า mindfulness ฝึกให้ได้วันละนิดเมื่อนึกได้ เมื่อ mind ได้พักเติมพลังเป็นระยะๆ เราจะมีเรี่ยวมีแรงออกไปสู้รบกับสถานการณ์ยากๆได้ใหม่ เสมือนเป็นการเก็บกวาดขยะความคิด ความรู้สึกออกเป็นพักๆ จะได้มีที่ไว้รองรับความคิดแย่ๆความรู้สึกลบๆที่จะกลับมาใหม่ทุกๆวัน
6. Sharing is Caring คงความสัมพันธ์ไว้ให้มั่น แม้เราจะห่างกายตามนโยบาย Social Distancing แต่เราไม่จำเป็นต้องห่างกัน โทรคุยกัน vdo call ให้เห็นหน้าเห็นตากันบ้าง แต่ย้ำอย่าคุยกันเรื่อง Covid แม้แต่ช่วงที่เราไปซื้อของที่ super market เราทักคนขาย ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันบ้างก็ได้ (ต่างคนต่างใส่ mask และเว้นระยะห่างอยู่แล้ว) การที่เราต่างคนต่างมีความทุกข์ วิตกกังวลและได้มีพื้นที่ที่สามารถระบายออกมาได้บ้าง และยังได้รับการตอบสนองในลักษณะที่ทำให้เราได้รับรู้ว่าเค้าก็ลำบากเหมือนกัน การแลกเปลี่ยนแบ่งปัน (sharing) นี้ถือได้ว่าเป็นอาวุธอันสำคัญที่ การพูดจาโต้ตอบอย่างเข้าอกเข้าใจ และเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันแม้เราจะไม่รู้จักกัน เป็นการเยียวยาช่วยให้เรามีความหวัง และเกิดกำลังใจที่จะเดินหน้าร่วมสู้ไปด้วยกันทั้งชาติ พลังของการพูด การหัวเราะ การให้กำลังใจเป็นยาสำคัญที่เราต้องการอย่างที่สุดในช่วงนี้
ขอขอบคุณแทนบุคลากรสาธารณสุขที่ประชาชนร่วมส่งกำลังใจให้พวกเรา ขอสัญญาว่าเราจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเราจะผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกัน และเราจะไม่ทอดทิ้งกัน
แพทย์หญิง อภิสมัย ศรีรังสรรค์ (หมอเบิร์ท)
ข้อมูลที่ จิตแพทย์แนะวิธีรับมือโควิด-19 นี้เป็นน่าจะเป็นประโยชน์ให้ทุกคนได้มีวิธีการดูแลสุขภาพจิตตัวเองและคนรอบข้างได้อย่างถูกต้อง และในสถานการณ์ที่โควิด19 ยังคงระบาดอยู่ตอนนี้ ขอให้ทุกคนมีกำลังใจที่เข้มแข็ง รับข่าวสารอย่างมีสติในปริมาณที่เหมาะสมกับตัวเอง รักษาดูแลสุขภาพจิตให้ดี เพราะเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะทำให้เราสามารถดูแลป้องกันตัวเองและครอบครัวให้พ้นจากภัย COVID-19 ในครั้งนี้ได้ แล้วเราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน
ขอขอบคุณ แพทย์หญิง อภิสมัย ศรีรังสรรค์ (หมอเบิร์ท)
Cover iT24Hrs-S