สัญญาณเตือน “เด็กติดเกม” ในช่วงกักตัวที่ผ่านมาหรือจะในช่วงระยะเวลาปิดเทอม เด็ก ๆ น้องนักเรียน นักศึกษาไม่มีภาระสำคัญที่ต้องจำนั้นก็คือการตั้งใจเรียนและเวลาทำกิจกรรม ทำให้ในแต่ละวันมีเวลาพักผ่อนทำกิจกรรมนอกเหนือจากกิจกรรมที่เกี่ยวกับการเรียน ทำให้เกิดปัญหาหนึ่งที่ น่าเป็นหวงคือ การติดมือถือ โดยเฉพาพะการเล่นเกม
สัญญาณเตือน “เด็กติดเกม” รู้ไว้ก่อนกลายเป็นโรคติดเกม
องค์การอนามัยโลก ได้ประกาศ “โรคติดเกม” (Gaming Disorder) เป็นหนึ่งในโรคทางจิตเวช ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรมเสพติด ในทางสมองมีลักษณะคล้ายกับติดสารเสพติด เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาสมอง พัฒนาการ และพฤติกรรมของเด็ก ต้นเหตุสำคัญของโรคติดเกมนั้น มาจากความไม่เข้าใจของพ่อแม่และผู้ปกครอง ที่มองว่าเด็กอยู่กับเครื่องมือไอที และเด็กก็เล่นอยู่ในสายตาของเราแล้วไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่จริง ๆ แล้วการเล่นเกมจนกลายเป็นการเสพติดกลับยิ่งทำให้เด็กไม่ได้พัฒนาทักษะและส่งผลต่อสุขภาพ
ลักษณะของเด็กติดเกม
- ใช้เวลาเล่นเกมมากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน หรือใช้เวลาในการเล่นเกมนานติดต่อกันหลาย ๆ ชั่วโมง เล่นนานขึ้นเรื่อย ๆ จากเดิมไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน เพิ่มเป็นหลาย ๆ ชั่วโมงต่อวัน
- รบกวนหน้าที่ การเรียน ขาดทักษะสังคม ขาดความสัมพันธ์กับคนในบ้านและเพื่อน ละเลยหน้าที่ความรับผิดชอบ หรือกิจวัตรประจำวัน เช่น ไม่สนใจการเรียน หนีเรียนหรือแอบหนีออกจากบ้านเพื่อไปเล่นเกม การเรียนตก
- หมกมุ่นจริงจังกับการเล่นเกม เวลาว่างส่วนใหญ่หมดไปกับการเล่นเกม ไม่สนใจหรือเลิกทำกิจกรรมที่เคยชอบ
- รู้สึกขาดเกมไม่ได้ ถ้าไม่ได้เล่น หรือถ้าถูกบังคับให้เลิกเล่น จะมีอาการโมโห หงุดหงิดอย่างรุนแรงหรืออารมณ์เสียตลอดระยะเวลาที่ไม่ได้เล่น
- บุคลิกภาพผิดไปจากเดิม ใช้ความรุนแรง ก้าวร้าว เริ่มพูดโกหก
การเล่นเกมนั้นมันมีข้อแนะนำอยู่ตามหลัก “3 ต้อง 3 ไม่” คือ
- ต้องกำหนดเวลาเล่นไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน
- ต้องตกลงโปรแกรมและเลือกประเภทเกมให้ลูก เช่น เกมบริหารสมอง ลดเกมที่เสี่ยงความก้าวร้าวอย่างการฆ่ากันยิงกัน พ่อแม่ต้องอยู่ด้วย
- ต้องเล่นกับลูก เพื่อสอนให้คำแนะนำกันได้
ส่วน “3 ไม่” ได้แก่
- พ่อแม่ไม่เล่นเป็นตัวอย่าง
- ไม่เล่นในเวลาครอบครัว
- ไม่เล่นในห้องนอน
หากมีความสงสัยผู้ปกครองสามารถทำแบบทดสอบการติดเกม ได้ที่ www.healthygamer.net เพื่อตรวจสอบว่าบุตรหลานของท่านเข้าข่ายติดเกมหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามการแก้ปัญหาเด็กติดเกมให้ดีขึ้น ไม่ใช่จะต้องแก้ไขแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ต้องพยายามด้วยกันทั้งคู่ ทั้งเด็กและพ่อแม่ รวมถึงคนรอบข้างที่บ้านและเพื่อน คุณครูที่โรงเรียน ปัญหาจะถูกแก้ไขได้ด้วย “ความเข้าใจร่วมกัน” ซึ่งจริง ๆ แล้วความเข้าใจร่วมกันนั้นควรจะมีอยู่ในทุก ๆ เรื่องของชีวิตของคนเราอยู่แล้ว
อ้างอิง Mahidol