เลือกตั้ง 2562 ตรวจสอบข่าวปลอม ทำอย่างไร ซึ่งข่าวที่แชร์บนโลกออนไลน์ ส่วนใหญ่จะมีทั้งเรื่องจริงและไม่จริงบนปนกันไป เป็นปัญหาที่ซับซ้อนที่ผู้ใช้และผู้อ่านข่าวต่องระวัง และควรหลีกเลี่ยงการแชร์ข่าวปลอม หรือข้อมูลข่าวที่ไม่เป็นจริง เพราะจะทำให้ผิดกฎหมาย พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
Facebook เผยว่า ขณะที่ประเทศไทยยังคงเดินหน้าไปสู่ยุคสังคมดิจิทัล การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มจึงสามารถทำได้ง่ายยิ่งขึ้น แต่จากข้อมูลการศึกษาของ YouGov ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดย Facebook ระบุว่าในประเทศไทย มีเพียงจำนวนร้อยละ 42 และร้อยละ 41 ของผู้ตอบแบบสอบถามบอกว่าพวกเขามั่นใจว่าตัวเองสามารถระบุข่าวปลอมและโปรไฟล์ปลอมได้
การจัดการกับข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงและข่าวปลอมเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและจำเป็นต้องบูรณาการความร่วมมือกันระหว่างนักวิชาการ ภาคประชาสังคมและรัฐบาล รวมถึงองค์กรด้านเทคโนโลยีและสื่อมวลชน ปัญหาข่าวปลอมนี้จัดการได้โดย ติดตามการนำเสนอเคล็ดลับที่ใช้ได้จริงเพื่อช่วยให้ผู้คนมีทักษะและสามารถสังเกตข่าวปลอมบนโลกออนไลน์ได้ โดยการนำเสนอเคล็ดลับนี้เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท.
การหลีกเลี่ยงข่าวปลอม หรือข้อมูลเท็จ สามารถทำได้หลายวิธี โดยเคล็ดลับดังต่อไปนี้จะช่วยให้คุณตรวจสอบข่าวปลอม ได้อย่างรอบคอบยิ่งขึ้น
1. ศึกษาข้อมูลด้วยตนเองก่อนการแชร์เสมอ
โดยพิจารณาแหล่งที่มาของข้อมูล
ตรวจสอบเนื้อหาอื่นๆ ที่ถูกนำเสนออยู่บนเว็บไซต์ แง่มุมในการนำเสนอข่าว และรายละเอียดติดต่ออื่นๆ ที่ปรากฎบนเว็บไซต์ นอกจากนี้ คุณควรระวังเว็บไซต์ปลอมที่แสร้งว่าเป็นองค์กรข่าวที่ดูน่าเชื่อถือ ซึ่งมักจะใช้วิธีเลียนแบบรูปแบบการจัดหน้าและการใช้ URL ที่มีชื่อคล้ายคลึงกัน
• 2 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยระบุว่าพวกเขาตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูลว่ามาจากองค์กรที่น่าเชื่อถือหรือไม่
ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับผู้เขียน
ศึกษาข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับผู้เขียนว่าเป็นบุคคลที่น่าเชื่อหรือมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ และเป็นบุคลากรที่อยู่ในแวดวงการรายงานข่าวมาเป็นระยะเวลามากน้อยอย่างไร ลองอ่านเรื่องราวอื่นๆ ที่เขียนโดยผู้เขียนคนเดียวกัน
ตรวจสอบข้อมูลสนับสนุน
ตรวจสอบเสมอว่าข้อมูลประกอบในบทความ สนับสนุนเนื้อหาหลักของเรื่องราวอย่างสมเหตุสมผลหรือไม่ ทั้งนี้ต้องระวังข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์หรือข้อมูลที่ถูกหยิบมาเพียงแค่บางส่วนหรือออกนอกบริบทสามารถนำมาเป็นเครื่องมือเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงได้
• ในประเทศไทย ร้อยละ 41 ตรวจสอบว่าภาพที่อยู่ในบทความมีที่มาจากไหน และร้อยละ 33 ตรวจสอบข้อมูลสนับสนุนเพิ่มเติมจากการรายงานหรือข่าวอื่นๆ
ตรวจสอบวันที่
อย่าลืมดูวันที่ที่เนื้อหาถูกตีพิมพ์ เพราะเรามักพบเห็นผู้คนแชร์ ‘ข่าว’ เก่าอยู่บ่อยครั้งบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งข่าวเก่าอาจจะไม่ใช่ข้อมูลที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ถูกต้องเสมอไป นอกจากนี้ ข่าวปลอมอาจประกอบด้วยการรายงานช่วงเวลาที่เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างสมเหตุสมผล รวมถึงมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลวันที่ที่เหตุการณ์เกิดขึ้นด้วย
2. อย่าอ่านแค่พาดหัวข่าว
ข่าวปลอมและข่าวที่มีคุณภาพต่ำมักมีการพาดหัวข่าวที่กระตุ้นความรู้สึกเพื่อให้เกิดจำนวนการคลิกมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นอกจากนี้ เนื้อหาของข่าวปลอมมักประกอบด้วยภาษาที่กระตุ้นอารมณ์และบางครั้งอาจเป็นภาษาที่ใช้คำรุนแรง รวมถึงใช้วิธีการเขียนที่ผิดหลักภาษาและมีการสะกดคำผิด
อีกหนึ่งกลวิธีที่ใช้ในการเผยแพร่ข่าวปลอมหรือข่าวที่มีคุณภาพต่ำคือ การหาผลประโยชน์จากพฤติกรรม ‘นักอ่านเวลาน้อย’ เมื่อผู้คนมักใช้เวลาอ่านเพียงพาดหัวข่าวหรือข้อความในย่อหน้าแรกก่อนแชร์เรื่องราวนั้นต่อ ผู้ประสงค์ร้ายจึงฉวยโอกาสนี้ด้วยการเขียนพาดหัวข่าวและย่อหน้าแรกที่ตรงไปตรงมาและประกอบด้วยข้อเท็จจริง โดยเรื่องราวส่วนที่เหลือเป็นข่าวปลอมและข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง
• ในประเทศไทย ร้อยละ 71 ของผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่าพวกเขาอ่านบทความจนจบก่อนที่จะแชร์ต่อ
3. แยกแยะระหว่างการแสดงความคิดเห็นและข่าว
คนเรามีแนวโน้มที่จะเชื่อข้อมูลซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อส่วนตัวของเรา ก่อนที่คุณจะระบุว่าเรื่องราวใดๆ ‘ไม่เป็นความจริง’ ควรไตร่ตรองให้ดีว่าอคติส่วนตัวของคุณไม่ได้เข้ามามีอิทธิพลต่อการพิจารณาเนื้อหาดังกล่าวในขณะนั้น
เคล็ดลับเพิ่มเติม:
• หากเรื่องราวนั้นเป็นบทความที่ปรากฏชื่อผู้เขียน (by-line) ควรคำนึงไว้ว่าผู้เขียนคนนั้นจะเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบต่อเนื้อหาทั้งหมด และคุณควรตรวจสอบบทความอื่นๆ ที่ผู้เขียนคนดังกล่าวเขียนด้วย
• หากเรื่องราวนั้นเป็นบทความแสดงความคิดเห็นโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือตัวแทนจากองค์กร (op-ed) ควรคาดการณ์ไว้ก่อนว่าบทความอาจมีเนื้อหาที่ลำเอียงหรือมีอคติ แม้ว่าจะประกอบด้วยข้อเท็จจริง แต่เนื้อหาประเภทนี้มักสะท้อนความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนหรือหน่วยงานและมีบทสรุปแบบไม่เป็นกลาง
4. คิดเชิงวิเคราะห์
เรื่องราวบางเรื่องถูกจงใจสร้างขึ้นด้วยข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง ดังนั้น คุณควรแชร์ข่าวที่คุณมั่นใจว่าเป็นข่าวที่เชื่อถือได้เท่านั้น ด้วยการคิดวิเคราะห์และพิจารณาบริบทอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เคล็ดลับเพิ่มเติม:
• ข่าวปลอมมักจะประกอบด้วยภาพหรือวิดีโอที่ถูกปรับแต่ง ซึ่งในบางครั้ง รูปภาพนั้นอาจเป็นรูปภาพที่แท้จริง แต่ถูกนำมาเปลี่ยนแปลงบริบท คุณสามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับภาพนั้นเพิ่มเติมเพื่อยืนยันที่มาที่ถูกต้อง
ทางด้านกองปราบปราม ได้โพสต์โซเชียล เผยขั้นตอนการตรวจสอบข่าวปลอม ในหัวข้อ “ เช็คก่อนแชร์ ก่อนหลงเชื่อข่าวลวง” ดังนี้
1. ‘ตั้งสติ’ ก่อนกดแชร์ข่าว อย่าเชื่อข่าวในทันทีที่อ่านจบ เพราะอาจเป็นข่าวปลอมที่ถูกส่งต่อมา
2. ‘หาที่มาของข่าว’ เช็ควันที่ ผู้เขียน แหล่งที่มา จากเว็บสำนักข่าวจริง ดูให้ดีว่าเป็นเพจปลอมหรือเปล่า เพราะข่าวปลอมอาจมาจากเพจล้อเลียนที่ตั้งชื่อคล้ายกับสำนักข่าวจริงได้
3. ‘ตั้งใจเป็นกลาง’ อย่าเพิ่งอคติ อย่าเพิ่งอินตามกระแสข่าว สอบถามผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นหรือสำนักข่าวให้ชัวร์ก่อนด่วนสรุป
4. ‘เช็คแล้วชัวร์..ก็แชร์เลย!!’ แชร์ออกไปว่าเป็นข่าวลวง ป้องกันการเข้าใจผิดในโลกออนไลน์
ทั้งนี้บทลงโทษสำหรับผู้ที่แชร์ข่าวปลอม คือ มีโทษตาม พรบ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(1) โทษจำคุก ไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ข้อมูลจาก Facebook ประเทศไทย , กองปราบปราม