ไมโครเวฟอันตราย ร้ายแรงกว่าระเบิดปรมาณู ที่แชร์ทางโซเขียล ที่แชร์ส่งต่อทางโซเชียล กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เผยไม่เป็นความจริง เพราะกลไกการทำงานของเตาไมโครเวฟ ใช้คลื่นไมโครเวฟผ่านเข้าไปในโมเลกุลของน้ำในอาหารทำให้เกิดความร้อน ไม่มีรังสีเกิดขึ้น ดังนั้นประเด็นไมโครเวฟอันตรายร้ายแรงกว่าระเบิด ไม่เป็นความจริง หากส่งต่อจะเข้าข่ายละเมิด พรบ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งติดคุกได้
ทั้งนี้ ขณะใช้เตาไมโครเวฟ อย่าเอาหน้าไปจ้องดูอาหาร เพราะอาจเป็นอันตรายต่อตาได้ หากต้องการตรวจสอบการรั่วของคลื่นไมโครเวฟจากเตาไมโครเวฟ สามารถส่งได้ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ หรือศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทั่วประเทศ
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า จากกรณีที่มีการแชร์ข้อมูลทางสังคมออนไลน์ว่า “รัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจเลิกใช้เตาไมโครเวฟก่อนสิ้นปีนี้ ประชาชนทุกหน่วยงานที่ไม่ปฏิบัติ ตามข้อกำหนดจะต้องถูกปรับและอาจติดคุก เหตุผลที่ห้ามเตาไมโครเวฟในดินแดนอาทิตย์อุทัยเป็นงานวิจัยโดยนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮิโรชิมา พวกเขาค้นพบคลื่นที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนมากกว่า 20 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเตาไมโครเวฟ ซึ่งอันตรายร้ายแรงกว่าระเบิดปรมาณู ที่ ฮิโรชิมา และ นางาซากิ ในปี ค.ศ. 1945 ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าอาหารที่อุ่นในเตาไมโครเวฟนั้นมีการสั่นสะเทือนและการแผ่รังสีที่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพ โดยในปี ค.ศ. 2021 การผลิตเตาไมโครเวฟจะหยุดลง ส่วนเกาหลีใต้ และจีนวางแผนจะโละทิ้งในปี ค.ศ. 2023” ข้อความในสังคมออนไลน์ดังกล่าวนั้นเป็นข่าวปลอมที่ก่อให้เกิดความสับสน
ดังนั้นกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ให้ข้อเท็จจริงว่า หลักการทำงานของเตาไมโครเวฟเป็นการใช้คลื่นไมโครเวฟผ่านเข้าไปในอาหารซึ่งจะทำให้เกิดการสั่นของโมเลกุลของน้ำในอาหาร เมื่อโมเลกุลของน้ำสั่นจะเกิดความร้อนขึ้น จนทำให้อาหารสุก จะเห็นว่ากลไกการทำงานไม่มีรังสี เกิดขึ้นเลย จึงไม่มีการตกค้างของรังสีใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นเรื่องราวในสื่อออนไลน์นี้จึงไม่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับ อันตรายที่กล่าวอ้างไม่เป็นความจริง เมื่อท่านใช้เตาไมโครเวฟอุ่นอาหารเสร็จ ควรเปิดประตูเครื่อง คลื่นไมโครเวฟก็หมดไปไม่มีการตกค้าง
โดยปกติเตาไมโครเวฟที่ได้มาตรฐานมีเครื่องหมาย มอก. จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม จะมีความปลอดภัยสูง อีกทั้งมีโอกาสน้อยมากที่เตาไมโครเวฟจะมีคลื่นรั่วออกมาเกินจากระดับมาตรฐาน มอก.1773-2542 กำหนด (ที่ระยะ 5 เซนติเมตรจากผิวเตารั่วได้ไม่เกิน 5 มิลลิวัตต์ต่อตารางเซนติเมตร) ทั้งนี้อันตรายที่เกิดขึ้นได้นั้นมักจะเกิดจากเตาไมโครเวฟที่มีความเก่ามากๆ เป็นสนิมผุ วัสดุเคลือบลอก บานพับประตูชำรุด หรือกระจกแตก ซึ่งอาจมีคลื่นไมโครเวฟรั่วออกมา หากมีความเข้มข้นพอจะก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวได้ และบางคนที่ชอบเอาหน้าไปใกล้ๆ เตาไมโครเวฟเพื่อดูอาหารก็จะทำให้เกิดอันตรายได้ เพื่อความปลอดภัยจึงไม่ควรเข้าใกล้เตาไมโครเวฟขณะเครื่องกำลังทำงาน
สำหรับประชาชนที่สนใจจะตรวจสอบการรั่วของเตาไมโครเวฟ สามารถนำเตาไมโครเวฟมาตรวจได้ที่ สำนักรังสีและเครื่องมือแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ หรือที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ในเขตต่างๆ ทั่วประเทศ ในเวลาราชการ
ข้อมูลจาก สำนักสารนิเทศ กระทรวงสาธารณสุข