สํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ สพธอ. (ETDA) ได้เผยแพร่บทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับเทรนด์ธุรกิจออนไลน์ โดยนำจาก Chartbeat แพลตฟอร์มด้านการวิเคราะห์ที่ใช้โดยบริษัทสื่อชั้นนำ ได้ระบุถึงเทรนด์สำคัญ ๆ ของพฤติกรรมผู้เข้าชมสื่อออนไลน์ เพื่อช่วยให้คนทำธุรกิจออนไลน์ได้เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงสำคัญ ๆ และคว้าโอกาสในการเติบโตรูปแบบใหม่ ๆ โดย 5 ข้อสำคัญในการทำธุรกิจออนไลน์ได้แก่
1. ไม่ใช่โลกที่มือถือมาเป็นอันดับหนึ่งเท่านั้น แต่คือ “โลกของมือถือเท่านั้น” ไปแล้ว
ในการเข้าชมสื่อโซเชียลต่าง ๆ ในโลกออนไลน์ เห็นได้ชัดว่าเครื่องมืออย่างมือถือได้รับผลตอบรับที่น่าทึ่งมากปีต่อปี โดยในปี 2559 มีการเข้า Google (กูเกิล) ทางมือถือกว่า 50% เป็นครั้งแรก ขณะที่ปี 2560 ที่ผ่านมาได้โชว์ให้เห็นว่ามีการเข้าทางมือถือ เพิ่มขึ้นจาก 51% เป็น 60% เลยทีเดียว เช่นเดียวกับการเติบโตบน Facebook (เฟซบุ๊ก) ที่เพิ่มขึ้นจาก 78% เป็น 87% ในปีที่ผ่านมา
ข้อมูลนี้ทำให้เห็นว่าผู้เข้าใช้สื่อออนไลน์เดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่หันมาใช้มือถือกันหมดแล้ว ยิ่งในแพลตฟอร์มอย่างเฟซบุ๊กและกูเกิล
2. แม้ทราฟฟิกของเฟซบุ๊กจะลด แต่ทราฟฟิกกูเกิลก็ขึ้น
ทราฟฟิกการเข้าชมเว็บไซต์ต่างๆ ผ่านลิงก์บนเฟซบุ๊กและกูเกิลนั้นเดินหน้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยกูเกิลนั้นมีการใช้จำนวน 1.25 พันล้านครั้ง/สัปดาห์ ขณะที่เฟซบุ๊กอยู่ที่ประมาณ 1 พันล้านครั้ง/สัปดาห์ ทราฟฟิกทั้ง 2 ค่ายนี้เพิ่มขึ้นและดิ่งลงอยู่อย่างสม่ำเสมอในแต่ละเดือนจนถึงทุกวันนี้ แล้วก็ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ข่าวใหญ่ ๆ อย่างข่าวปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง หรือพายุเฮอริเคน Irma ที่ทำให้ทราฟฟิกของกูเกิลพุ่งสูงขึ้นแบบไม่ธรรมดาในเดือนกันยายน 2560
ส่วนการลดลงของทราฟฟิกบนเฟซบุ๊กนั้น หากมองลึกลงไปจริง ๆ ก็แค่ชิ้นส่วนที่หายไปของตลาดที่มันใหญ่มากขึ้น และทราฟฟิกของกูเกิลก็ขึ้น นั่นหมายถึง เหตุการณ์ใดเป็นเหตุการณ์ข่าวสารที่สำคัญ การค้นหาที่นำไปสู่การเข้าชมโดยตรง จะเป็นที่นิยมมากที่สุด
3. ความต้องการคอนเทนต์วิดีโอ จะพุ่งขึ้นเมื่อมีข่าวใหญ่ ๆ
การรับชมเนื้อหาที่เป็นวิดีโอนั้น ต้องมีอะไรในนั้นที่มากกว่าการอ่านข่าวจากตัวเท็กซ์ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบเวลาที่ผู้ชมใช้กับการดูวิดีโอเมื่อเทียบกับการอ่านตัวเนื้อข่าว ก็พบว่าความต้องการเนื้อหาวิดีโอเปลี่ยนแปลงตลอดทั้งปี โดยมันจะพุ่งขึ้นสัมพันธ์เรื่องราวที่ต้องดูภาพอย่างสูง เช่น ข่าวพายุเฮอริเคน Irma
และนั่นก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ว่าข่าวที่ต้องดูภาพไปด้วยสูง ๆ คนอ่านก็ต้องไปหาดูจากคลิปข่าว ซึ่งด้วยความต้องการคอนเทนต์วิดีโอที่ไม่แน่นอน จากข้อมูลเชิงลึกนี้ ควรนำมาวางกลยุทธ์ด้านเนื้อหาที่ดีขึ้นและการหารายได้ที่ชาญฉลาดขึ้น
4. ยิ่งทำให้เขาอ่านคอนเทนต์นานขึ้น ยิ่งดึงให้กลับมาหาเรามากขึ้น
บริษัทสื่อสารสามารถสร้างและขยายกลุ่มผู้ชมที่ภักดี (Loyalty) ได้อย่างไร คำตอบคือ “เน้นการมีส่วนร่วม” หรือ “Engagement”
การมีส่วนร่วมนั้นสำคัญ เพราะผลการวิจัยได้โชว์ว่า ครึ่งหนึ่งของผู้เข้าชมที่คลิกเข้าไปที่บทความนั้นไม่ค่อยจะอ่าน โดย 45% ใช้เวลาไม่ถึง 15 วินาทีบนหน้าเว็บไซต์ แต่ยิ่งมีคนอ่านหน้าใหม่ที่มีส่วนร่วมโดยใช้เวลานานขึ้นระหว่างเข้าเว็บไซต์ของเรา ก็จะยิ่งมีแนวโน้มจะกลับมาที่เว็บไซต์เราอีก ซึ่งหมายความว่า พวกเขายังสามารถดูเพจอื่น ๆ ในเว็บไซต์เรามากขึ้น และใช้เวลาอ่านได้นานขึ้น ย่อมหมายถึงเขาจะเห็นโฆษณาบนหน้าเพจของเราได้มากขึ้น
ทั้งหมดนี้ คือการเพิ่มประสิทธิภาพด้วยการมีส่วนร่วมที่สามารถสร้างความภักดีและรายได้ให้แก่เราอีกด้วย
5. โฮมเพจยังไม่ตาย ยังเป็นจุดแลนดิ้งของผู้ชมที่สำคัญที่สุด
โฮมเพจ (หน้าแรกของเว็บไซต์) ตายแล้วจริง ๆ หรือ? ไม่ใช่เลย! แม้เฟซบุ๊กและกูเกิลเป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่สร้างผู้อ่านหน้าใหม่ ๆ และผู้เข้าชมครั้งแรกมักจะคลิกลิงก์จากแพลตฟอร์มนั้นไปที่บทความมากกว่าหน้าแรกของเว็บไซต์ แต่ก็น่าประหลาดใจในสิ่งที่พบในเรื่องของความภักดีหรือ Loyalty เพราะผู้เข้าชมที่กลับมาที่เว็บไซต์บ่อย ๆ จะมีพฤติกรรมที่ชัดเจนมาก ๆ ต่อหน้าโฮมเพจคือ
เมื่อผู้อ่านมีความภักดีมากขึ้น พวกเขาจะใช้หน้าแรกอย่างกระตือรือร้นมากขึ้น
หากวันใดมีผู้เข้าชมมากกว่าวันอื่น ๆ (แตะ 50% ของเกณฑ์ที่กำหนด) การเข้าไปที่หน้าแรกจะมากกว่าเข้าไปที่หน้าบทความ
ผู้สมัครเป็นสมาชิกจะมีส่วนร่วมมากกว่าผู้ชมในภาพรวม โดยระยะแรกผู้สมัครสมาชิกจะเข้าไปที่บทความ แต่เมื่อพวกเขากลายเป็นผู้เข้าใช้บ่อยขึ้น การใช้โฮมเพจก็จะเริ่มพุ่งสูงขึ้นเหนือการเข้าบทความ
จากข้อมูลทั้งหมด ทำให้เห็นได้ชัดเจนมากขึ้นว่า มีเครื่องมือต่าง ๆ ที่สามารถนำมาใช้สร้างและเพิ่มผู้ชมที่ภักดีต่อเราได้ ในขณะที่แพลตฟอร์มอย่างเฟซบุ๊กหรือกูเกิล จำเป็นสำหรับผู้เยี่ยมชมหน้าใหม่ แต่การสร้างทราฟฟิกให้เข้าชมที่เว็บไซต์ของเราโดยตรงก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคงไว้
หน้าโฮมเพจจึงสำคัญมากกว่าที่เราคิด อยู่ที่ว่าเราจะยอมสูญเสียหรือเก็บรักษาผู้อ่านที่ภักดีต่อเราไว้
ข้อมูลจาก ChartBeat , สํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์