ข่าวการถูกควบคุมตัวของ Meng Wanzhou ประธานฝ่ายการเงิน (CFO) ของ Huawei ในแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ที่คาดว่ามีสาเหตุจากความเกี่ยวพันกับการฟอกเงิน และทำธุรกรรมกับอิหร่าน ทำให้หน่วยงานของสหรัฐฯ เริ่มมีการทบทวนเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ ที่ Huawei เคยดำเนินการมาก่อนหน้านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความพยายามที่จะติดตามและมอนิเตอร์การมีส่วนร่วมของจีนในการวิจัยขั้นสูงที่ดำเนินการในมหาวิทยาลัยอเมริกา และความช่วยเหลือต่างๆ จากบริษัททางด้านเทคโนโลยีจากจีน
การจับกุมตัว Meng Wanzhou สร้างความสั่นคลอนต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และยังรวมถึงความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐอเมริกาด้วย
หน่วยงานต่างๆ อย่างเช่น เอฟบีไอ กระทรวงศึกษาธิการ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) และสมาคมมหาวิทยาลัยอเมริกัน เป็นหน่วยงานที่มีการประสานความร่วมมือด้านการเรียนรู้กับจีน ซึ่งบุคลากรด้านการวิจัยในมหาวิทยาลัยและศูนย์การแพทย์เหล่านี้ ได้รับการสนับสนุนทางด้านการเงินจากหน่วยงานในประเทศจีน
ที่สำคัญที่สุดคือ FBI ได้ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการวิจัยทางวิชาการของจีน และความร่วมมือจากตัวแทนจากสถาบันการศึกษาและสถาบันทางการแพทย์ของรัฐเท็กซัส ซึ่งได้แก่ศูนย์การแพทย์เท็กซัส มหาวิทยาลัยเท็กซัส และมหาวิทยาลัยอื่นๆ ของรัฐเท็กซัส นอกจากนี้ยังมีมหาวิทยาลัยฮูสตัน ศูนย์มะเร็ง MD Anderson ที่เป็นความร่วมมือระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนอีกด้วย ซึ่งถือได้ว่าเป็นความร่วมมืออย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
หน่วยงานต่างๆ ในสหรัฐได้เริ่มมีการถกประเด็นในเรื่องภัยคุกคามความมั่นคงปลอดภัยจากคู่แข่งชาวต่างชาติ โดย Bill Priestap คณะกรรมการตุลาการวุฒิสภา ได้กล่าวว่าจีนคือภัยคุกคามที่รุนแรงที่สุดที่สหรัฐอเมริกาต้องเผชิญในปัจจุบันนี้
ส่วน Christopher Wray ผู้อำนวยการ FBI ได้กล่าวถึงความจำเป็นที่จะต้องจัดการกับภัยคุกคามความมั่นคงแห่งชาติ เนื่องจากประเทศจีนได้แสดงให้เห็นในหลายๆ ด้านว่าอาจเป็นภัยคุกคามด้านข่าวกรองที่สหรัฐฯ ต้องเผชิญในระยะยาว
ความกังวลของรัฐบาลสหรัฐฯ เกี่ยวกับประเทศจีนมีเพิ่มมากขึ้นไปอีก เมื่อมีแฮ็กเกอร์สองคน Zhu Hua และ Zhang Shilong ที่สหรัฐฯกล่าวหาว่าทั้งสองกระทำการในนามของกระทรวงความมั่นคงของจีน เพื่อแฮกบริษัทต่างๆ และหน่วยงานรัฐบาลในสหรัฐอเมริกา
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา FBI ได้มีการประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากสถาบันการศึกษา เพื่อทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องในเรื่องความมั่นคงแห่งชาติ ทำให้ FBI ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นสำหรับความพยายามในการตรวจสอบการโจรกรรมทรัพย์สินทางปัญญา และช่องโหว่อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับประเทศจีน โดยประเด็นที่น่ากังวลคือการลงทุนโดยหน่วยงานที่เชื่อมโยงกับรัฐบาลจีนในเทคโนโลยีขั้นสูง อย่างเช่น เลเซอร์และหุ่นยนต์
ซึ่งการที่ชาวอเมริกันจำนวนมากมีส่วนร่วมกับจีนนั้น ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ถือเป็นส่วนสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่มีมานานกว่า 140 ปี ซึ่งการหลั่งไหลของนักศึกษาจากจีนไปยังสหรัฐอเมริกาเริ่มต้นขึ้นหลังจากสนธิสัญญาเบอร์ลิงเกม (Burlingame Treaty) ในปี 1868 ระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน เพื่อสร้างสัมพันธไมตรีระหว่างสองประเทศ ซึ่งทำให้จีนมีสถานะเป็นชาติที่ได้รับความอนุเคราะห์ยิ่ง (Most Favored Nation) ในด้านการแลกเปลี่ยน และการเปิดประเทศสหรัฐอเมริกาให้กับนักศึกษาจากจีน ซึ่งถือเป็นการวางรากฐานสำหรับการแลกเปลี่ยนทรัพย์สินทางปัญญาจากประเทศที่มีทรัพย์สินทางปัญญามากที่สุดในโลก
ในปัจจุบันนักวิชาการจากจีนแผ่นดินใหญ่ ตั้งแต่นักศึกษาระดับปริญญาตรีไปจนถึงนักวิจัยระดับปริญญาเอก ได้เข้าศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกาในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ (science) เทคโนโลยี (technology) วิศวกรรมศาสตร์ (engineering) และคณิตศาสตร์ (mathematics) หรือ “STEM” มากขึ้น ซึ่งมีรายงานจาก New York-based Institute of International Education ว่าในปีการศึกษา 2016 – 2017 มีนักศึกษาจากจีนแผ่นดินใหญ่เกือบ 350,000 คนในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยร้อยละ 43 กำลังศึกษาในด้านวิศวกรรมศาสตร์ คณิตศาสตร์ วิทยาการคอมพิวเตอร์ หรือวิทยาศาสตร์กายภาพ ส่วนศึกษาด้านการจัดการธุรกิจ มีเพียงร้อยละ 23 เท่านั้น
ด้วยความกลัวที่ว่าผลงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยในอเมริกาจะถูกนำออกไปใช้ในจีน จึงเป็นการกระตุ้นให้กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เริ่มมีข้อจำกัดของวีซ่าที่ออกให้แก่นักวิชาการจีนแผ่นดินใหญ่ในสาขาต่างๆ เช่น หุ่นยนต์ การบิน และเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง แต่ก็ไม่ได้จำกัดเฉพาะกับนักศึกษาหรือผู้วิจัยจากจีนแผ่นดินใหญ่เท่านั้น สหรัฐอเมริกายังคำนึงถึงกลุ่มผู้มีส่วนร่วมในการวิจัย รวมถึงผู้ดำเนินการวิจัยด้วย
นอกจากนี้ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) ยังได้มีแถลงการณ์ โดย Francis Collins ผู้อำนวยการ ว่าความปลอดภัยของการวิจัยด้านชีวการแพทย์ในสหรัฐฯ นั้นมีความเสี่ยงมากขึ้น โดย Collins กล่าวว่าประเด็นที่น่ากังวล ได้แก่ นักวิจัยที่ได้รับทุนของ NIH ไม่สามารถได้รับทุนจากหน่วยงานอื่นๆ ได้ รวมทั้งหน่วยงานรัฐบาลต่างชาติ; ความแตกต่างของทรัพย์สินทางปัญญาของหน่วยงานต่างๆ รวมถึงในประเทศต่างๆ ด้วย และการแบ่งปันข้อมูลที่เป็นความลับให้กับบุคคลอื่นๆ รวมถึงหน่วยงานในต่างประเทศ โดยผู้ตรวจสอบงานวิจัย
กระทรวงศึกษาธิการของสหรัฐอเมริกากำลังดำเนินการกับความเสี่ยงนี้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะกับบริษัท Huawei ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่างานวิจัยในมหาวิทยาลัยหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา ได้รับเงินสนับสนุนเป็นจำนวนมากจากบริษัท Huawei และอยู่ภายใต้เงื่อนไขต่างๆ ตัวอย่างเช่น Huawei ได้ร่วมมือกับ UC Berkeley เพื่อมุ่งเน้นการวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการลงทุนของจีนในเทคโนโลยีเกิดใหม่ ทำให้สามารถเข้าถึงนวัตกรรมอันมีค่าของสหรัฐฯได้ โดย Huawei มีข้อตกลงเบื้องต้นในการให้ทุน 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับการศึกษาในเรื่อง deep learning, reinforcement learning, machine learning, natural language processing และ computer vision ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ Huawei ยังได้ร่วมมือกับ MIT ในการมอบทุนเพื่อสร้างศูนย์วิจัยร่วมกัน
เมื่อต้นปี 2017 ได้มีรายงานจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ระบุว่ามีการออกกฎหมายเพื่อพิจารณาตรวจสอบการลงทุนจากต่างประเทศในสหรัฐฯ อย่างเข้มงวด และยังเรียก Huawei ว่าเป็นภัยคุกคาม
เนื่องจากบริษัทต่างๆ จากจีน มักจะใช้วิธีการสนับสนุนและมีความร่วมมือในการทำวิจัยกับสถาบันการศึกษาต่างๆ ในสหรัฐฯ เพื่อดึงดูดความสามารถใหม่ๆ เข้าสู่ประเทศ ซึ่งเป็นกลยุทธ์การถ่ายทอดเทคโนโลยีของจีน
รายงานจากคณะกรรมาธิการทบทวนเศรษฐกิจและความมั่นคงระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ยังแสดงให้เห็นว่า Huawei เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีสมรรถนะในการแข่งขันระดับชาติ (national champions) ของจีน ซึ่งเป็นบริษัทที่สนับสนุนให้รัฐบาลพยายามกำจัดบริษัทข้ามชาติที่ไม่ใช่บริษัทจากจีนออกไปจากตลาดโลก
สำหรับบริษัทที่มีสมรรถนะในการแข่งขันระดับชาติของจีนนั้น การสนับสนุนยังรวมถึงการดำเนินการที่ออกแบบมาเพื่อพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันของบริษัทในประเทศจีน ในขณะที่มีศักยภาพในการสร้างประโยชน์อื่นๆให้กับรัฐบาลด้วย ซึ่งบริษัทด้านเทคโนโลยีเหล่านี้ ได้แก่ Huawei, ZTE และ Lenovo
ถึงแม้จะมีคำเตือนเรื่องความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นนี้ แต่ Huawei ก็ยังมีความพยายามในความร่วมมือกับนักวิจัยในสหรัฐอเมริกา โดยบริษัทฯ ได้ยกระดับโครงการวิจัยนวัตกรรมของหัวเว่ย (Huawei Innovation Research Programme : HIRP) ให้เป็นโครงการระดับโลก เพื่อกำหนดและสนับสนุนคณาจารย์ในระดับโลก ที่สามารถทำงานเต็มเวลา ในการค้นหานวัตกรรมที่น่าสนใจร่วมกัน
Reference
https://www.scmp.com/news/china/article/2179000/chinese-tech-under-microscope-us-agencies-step-reviews-research-activity
————————-
บทความโดย
พันเอก ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ
www.เศรษฐพงค์.com
24 ธ.ค. 2561