จะประเด็นข่าวศุลกากรเตรียมตรวจเข้มของมีค่าของผู้โดยสาร โน้ตบุ๊ก กล้อง นาฬิกา เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมาจนเป็นประเด็นร้อนบนโลกโซเชียล ทั้งนักท่องเที่ยว นักธุรกิจ Blogger สายไอที และสื่อมวลชน ที่ต้องใช้กล้องและโน้ตบุ๊คในการทำงาน แถมมีสมาร์ทโฟนราคาแพงๆซึ่งเรือธงกว่า 20000 บาทอีก ก็มีข่าวอัปเดตจากศุลกากร ออกแถลงชี้แจงเพิ่มเติมดังนี้
กรมศุลกากร โพสต์ประกาศ ฉบับที่ 24/2561 8 มีนาคม 2561 ซึ่งเป็นการแถลงแถลงข่าวชี้แจงประเด็นตามโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับของมีค่าติดตัวผู้โดยสาร ฯ ที่กรมศุลกากรกำหนดให้ผู้โดยสารที่นำของ อาทิ คอมพิวเตอร์สำหรับพกพา กล้องถ่ายรูป จะต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนเดินทางออกไปต่างประเทศ โดยประกาศนี้แจกเป็นเอกสารให้กับสื่อมวลชน และโพสต์ประกาศเองขึ้น facebook pages ของกรมศุลกากรด้วย
กรมศุลกากรขอชี้แจงว่า เรื่องดังกล่าวเป็นไปตามประกาศที่ 60/2561 ลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561 แต่สาระในประกาศฯ ดังกล่าวมิใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นแนวทางปฏิบัติที่กรมฯ ได้ดำเนินการมาเป็นระยะเวลานานแล้ว แต่เหตุที่ต้องนำมาออกประกาศกรมศุลกากรใหม่ เนื่องจาก พระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช ๒๔๖๙ ถูกยกเลิก โดยพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการยังคงมีผลในทางปฏิบัติ จึงต้องออกประกาศกรมฯ ฉบับนี้ ทั้งนี้ เนื้อหาของประกาศฉบับนี้ มิได้กำหนดให้ผู้โดยสารทุกคนจะต้องนำสิ่งของไปแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนเดินทางออกนอกประเทศ แต่วัตถุประสงค์ของประกาศฉบับนี้ก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสารที่อาจมีสิ่งของที่ต้องนำไปต่างประเทศ เช่น เพื่อนำไปแสดงนิทรรศการ หรือเพื่อนำไปประกอบวิชาชีพ แล้วเกรงว่าหากนำของดังกล่าวกลับเข้ามาในประเทศ อาจถูกเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่ท่าอากาศยานตรวจพบและตั้งข้อสงสัยว่าของนั้นเป็นของที่เพิ่งนำเข้ามาจากต่างประเทศและอยู่ในข่ายต้องเสียภาษีอากร ทำให้ผู้โดยสารต้องเสียเวลาหรือมีความยุ่งยากในการหาหลักฐานประกอบคำชี้แจง ดังนั้น เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว กรมศุลกากรจึงมีบริการเพื่อให้ผู้โดยสารสามารถที่จะไปพบเจ้าหน้าที่ก่อนเดินทางออกนอกประเทศเพื่อให้เจ้าหน้าที่บันทึกสิ่งของนั้นไว้เพื่อเป็นหลักฐาน และแสดงหลักฐานดังกล่าวต่อเจ้าหน้าที่เมื่อเดินทางกลับเข้าประเทศ การปฏิบัติดังกล่าวไม่ได้บังคับผู้โดยสาร ไม่มีบทลงโทษผู้โดยสาร ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับผู้โดยสารจะเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวจะเป็นประโยชน์กับตนเองหรือไม่
นอกจากนี้ โฆษกกรมศุลกากร ได้ชี้แจงในกรณีที่ผู้โดยสารซื้อสินค้าจากร้านค้าปลอดอากรขาออกและนำของนั้นกลับเข้าประเทศว่า หากนำของนั้นเข้ามาและของมีมูลค่ารวมกันไม่เกินสองหมื่นบาท (เว้นแต่ สุรา บุหรี่ ซิการ์ และยาเส้น ซึ่งจะต้องเป็นไปตามปริมาณที่กำหนด) จะได้รับการยกเว้นค่าภาษีอากร แต่หากของนั้นมีมูลค่าเกินสองหมื่นบาท หรือนำเข้าสุรา บุหรี่ ซิการ์ และยาเส้น เข้ามาเกินปริมาณที่กำหนด หรือนำเข้ามาเพื่อการค้าแม้จะราคาไม่ถึงสองหมื่นบาท ก็ต้องเสียภาษีอากร
ส่วนกรณีที่โซเชียลมีเดียมีประเด็นเรื่องการตรวจสัมภาระ Check Through ว่าเป็นเรื่องใหม่หรือไม่นั้น กรมศุลกากรขอเรียนว่า เรื่องดังกล่าวมิใช่เรื่องใหม่แต่เป็นเรื่องที่ได้ปฏิบัติมาเป็นระยะเวลานานแล้ว กล่าวคือ กรณีผู้โดยสารขาเข้า ตัวอย่างเช่น ผู้โดยสารที่เดินทางจากต่างประเทศผ่านท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปยัง ท่าอากาศยานปลายทางในประเทศ เช่น ท่าอากาศยานเชียงใหม่ การตรวจกระเป๋าถือขึ้นเครื่อง หรือ Hand Carry จะดำเนินการที่ First Port คือที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ส่วนกระเป๋าสัมภาระที่โหลดลงใต้ท้องเครื่องจะถูกนำไปตรวจที่ Last Port คือ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และกรณีผู้โดยสารขาออก ที่ Check Through ไปต่างประเทศ สำหรับตัวอย่างนี้ จะตรวจกระเป๋าสัมภาระที่โหลดใต้ท้องเครื่องที่ First Port คือ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ส่วนกระเป๋าที่ถือขึ้นเครื่อง หรือ Hand Carry จะตรวจที่ Last Port คือ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ก่อนออกไปต่างประเทศ กล่าวโดยสรุป เรื่องต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น มิใช่เป็นเรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่กรมศุลกากรได้กำหนดเป็นแนวทางปฏิบัติมาเป็นระยะเวลานานแล้ว แต่โดยเหตุที่พระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช ๒๔๖๙ ได้ถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ จึงจำเป็นที่จะต้องออกประกาศกรมศุลกากรฉบับใหม่เพื่อให้แนวทางปฏิบัติยังคงมีผลบังคับใช้เช่นเดิม
ชัยยุทธ คำคุณ รองอธิบดีกรมศุลกากร ยอมรับว่า เนื้อหาในประกาศส่งผลทำให้เกิดความเข้าใจผิด ขณะนี้ทางกรมฯ อยู่ระหว่างการปรับแก้ประกาศ ให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับเจตนารมณ์มากยิ่งขึ้น โดยจะพยายามปรับแก้ให้เร็วที่สุด
คราวนี้หากลองแสดงสิ่งของให้เป็นไปตามประกาศของศุลกากรต้องทำอย่างไรบ้าง
1. กรอกแบบฟอร์ม “แบบแจ้งของมีค่าที่ผู้โดยสารนำติดตัวออกไป” ที่ “จุดตรวจศุลกากรเพื่อคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม และพิธีการศุลกากรขาออก”
โดยกรอกเอกสารที่สนามบินสุวรรณภูมิ จะอยู่ที่ชั้น 4 หลังแถว G ติดกับ Oversize Lift Y2 ส่วนสนามบินดอนเมือง จะอยู่ใกล้ประตูที่ 1 หากเป็นสนามบินแห่งอื่นในไทยสามารถสอบถามได้ที่ประชาสัมพันธ์ของสนามบินนั้นๆ
2. ในกรณีที่มีสิ่งของต้องแสดง เกินกว่า 4 รายการ ก็ให้เตรียมเอกสารแนบไปด้วย 2 ชุด แนบรูปถ่ายด้วย
3. เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจสอบสิ่งของว่าตรงไว้กับที่ระบุหรือไม่
4. ทำเอกสารไว้ 2 ชุด 1 ชุดเก็บไว้ที่ศุลกากร อีก 1 ชุดเก็บไว้ที่เรา เอาไว้ใช้แสดงอีกทีตอนที่ขากลับเข้าไทย เพื่อเปรียบเทียบรายการสิ่งของ ซึ่งของมีค่าของเราส่วนใหญ่ จะพกขึ้นเครื่องไปด้วย ไม่โหลดกระเป๋าใต้ท้องเครื่อง แต่ถ้าเป็นของที่ต้องโหลด อย่างน้ำหอม หรือเครื่องสำอาง ก็จำเป็นที่จะต้องไปกรอกฟอร์มก่อนนี้จะไปโหลดกระเป๋า ดังนั้นเผื่อเวลาการกรอกการแสดงสิ่งของด้วย ซึ่งใช้ระยะเวลาประมาณ 10 นาที (หากเตรียมเอกสารตามนี้)
ส่วนการเดินเข้าประเทศไทยนั้น ให้เข้าที่ช่องแดงของ ศุลกากร เพื่อแสดงของเปรียบเทียบ โดยดูรายการว่าตรงันมั้ย และแน่นอนต้องมีสแกนกระเป๋าด้วย
แล้วแบบนี้จะไปแสดงรายการทำไม ? ก็ต้องบอกว่า มันก็คือการแสดงหลักฐานทั้งหมด เพราะถ้าเราไปเข้าช่องเขียวแล้วโดนสุ่มตรวจ ก็เป็นไปได้ที่ของที่เราใช้จะโดนรวมมูลค่าไปกับของที่นำเข้ามาด้วย อันนี้แล้วแต่ “ดุลยพินิจของเจ้าพนักงาน”
สุดท้ายจริงของประเด็นนี้คือ ศุลกากรไม่ได้ตรวจ “โน้ตบุ๊ก-นาฬิกา-โทรศัพท์มือถือ” ส่วนตัวของผู้โดยสารเข้มขึ้น แค่เอาระเบียบเก่ามาประกาศใช้ใหม่ แค่นั้น
ข้อมูลจากเพจ กรมศุลกากร , เพจจูงมือกันเที่ยว , ภาพจากท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย