การเรียนจบปริญญาตรีของคนในยุค Gen-X ด้วยการใช้เวลา 4-5 ปี โดยสามารถนำความรู้จากปริญญาตรีไปใช้ได้อีกนับ 10 ปีในการทำงานโดยไม่ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่เพิ่มเติม ซึ่งมันกำลังจะเป็นสิ่งที่ใช้ไม่ได้แล้วสำหรับเด็กๆ ที่เพิ่งเกิดมาในช่วงเวลานี้เป็นต้นไป เพราะองค์ความรู้และเทคโนโลยีต่างๆ กำลังก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดตลอดเวลาจนเด็กรุ่นใหม่ไม่สามารถใช้ความรู้ที่เรียนมาในอดีตมาใช้แก้ปัญหาในปัจจุบันและอนาคตได้หากพวกเขาไม่ได้ขวนขวายหาความรู้ตลอดเวลา
World Economic Forum ได้วิเคราะห์ว่า นับจากนี้ไปภายใน 5 ปี อาชีพหลายอาชีพที่เคยมีอยู่ในวันนี้อาจหายไป แต่จะมีอาชีพที่เราไม่เคยเห็นเลยในอดีตเกิดขึ้นมากมาย และจะทำให้ตลาดแรงงานต้องการขีดความสามารถ (skill) ใหม่ๆ จากแรงงานในอนาคต ซึ่งรูปแบบของ skill ในวันนี้จะเปลี่ยนไปกว่า 35% ภายในปี 2020 และจะเปลี่ยนไปด้วยอัตราเร่งตลอดเวลานับจากนี้ไป
ดังนั้นในศตวรรษที่ 21 คนรุ่นใหม่ที่กำลังเติบโตเป็นแรงงานแห่งอนาคตต้องสร้าง skill เพื่อดักอนาคตให้ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นต้องมีการเรียนรู้มากขึ้นและรวดเร็วขึ้นกว่าเดิม และยังต้องมีความฉลาดทางอารมณ์ในการทำงานร่วมกันกับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นทักษะที่พัฒนาขึ้นโดยการเรียนรู้ทางสังคมและอารมณ์ (social and emotional learning : SEL) โดยหากคนรุ่นใหม่เหล่านั้นมีความสามารถทางสังคมและทางอารมณ์ควบคู่ไปกับการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ก็จะช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วได้
World Economic Forum ได้เผยแพร่รายงานหลายฉบับที่มุ่งเน้นประเด็นปัญหาในเรื่องช่องว่างทางทักษะในศตวรรษที่ 21 และแนวทางในการแก้ไขปัญหาโดยอาศัยเทคโนโลยี ซึ่งได้มีการอธิบายทักษะที่สำคัญ 16 ประการสำหรับสถาบันการศึกษาที่ควรจะต้องมีให้กับแรงงานแห่งอนาคตในศตวรรษที่ 21 ซึ่งได้แก่ “ความรู้พื้นฐาน” เช่น ความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ การคำนวณและความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ ความรู้ด้าน ICT ความรู้ด้านการเงิน และความรู้ด้านวัฒนธรรมและการเมือง อีกทั้งทักษะที่เป็น “ความสามารถ” คือ สามารถเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อน ได้แก่ การทำงานร่วมกัน การสื่อสาร ความคิดสร้างสรรค์ การคิดเชิงวิเคราะห์และการแก้ปัญหา ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องมี “คุณลักษณะเชิงคุณภาพ” คือ สามารถปรับตัวอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ได้แก่ ความอยากรู้ ความคิดริเริ่ม ความอดทน ความสามารถในการปรับตัว ความเป็นผู้นำ และการรับรู้ทางสังคมและวัฒนธรรม
การที่เทคโนโลยีได้ถึงมือผู้เรียนอย่างรวดเร็วและราคาถูก จนทำให้พวกเขาสามารถค้นหาข้อมูลความรู้ได้เร็วกว่าที่มหาวิทยาลัยจัดให้ อีกทั้งมหาวิทยาลัยแบบดั้งเดิมกำลังถูกท้าทายกับมหาวิทยาลัยที่จับต้องไม่ได้ที่อยู่ในรูปแบบดิจิทัล anyone anywhere anytime และราคาถูกมากเข้ามาแย่งผู้เรียนไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีแนวโน้มว่าเด็กที่เพิ่งเกิดมาในวันนี้อาจไม่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแบบที่พวกเราจบมาแบบในอดีตที่ผ่านมาอีกต่อไป ซึ่งมหาวิทยาลัยทางกายภาพอาจเป็นที่พบปะเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น พบปะผู้เชี่ยวชาญ และฝึกอบรบระยะสั้นแบบ face-to-face เท่านั้น ดังนั้น รูปแบบสถาบันการศึกษาในอนาคตจึงจะมีรูปแบบเป็น online มากขึ้นอย่างเด่นชัด
ตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัย Oxford ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำ จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยของ Times Higher Education World university Rankings ในปี 2017 – 2018 จากการนำเสนอการเรียนการสอนออนไลน์ระบบเปิดสำหรับมวลชน (massive open online course : MOOC) ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ไม่จำกัดจำนวนคนเข้าเรียน และเป็นระบบเปิดสำหรับทุกคนที่อยากเรียนจะต้องได้เรียน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการเรียน โดยมหาวิทยาลัย Oxford ได้ร่วมมือกับ edX ซึ่งเป็นรูปแบบการเรียนออนไลน์ที่ก่อตั้งโดยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและสถาบัน MIT โดยมีหลักสูตร “From Poverty to Prosperity: Understanding Economic Development” เป็นที่น่าสนใจและสามารถดึงดูดผู้ลงทะเบียนเรียนได้มากกว่า 47,000 ราย จากเกือบทุกประเทศทั่วโลก
หลังจากประสบความสำเร็จในการเปิดหลักสูตรในระบบ MOOC จึงทำให้ Oxford เปิดตัวหลักสูตรที่สองขึ้น ซึ่งได้มีรูปแบบการสอนใหม่ ๆ เกิดขึ้น เช่น การตอบคำถามแบบสดโดยศาสตราจารย์ Paul Collier หัวหน้าหลักสูตร
ซึ่งนับตั้งแต่ที่ MOOC ได้เกิดขึ้นและแพร่หลายในปี 2011 ได้มีผู้สนใจลงทะเบียนเรียนหลักสูตรระยะสั้นนับล้านคนทั่วโลก โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และพร้อมให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ด้วยเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งหลังจากนั้น MOOC ได้เกิดขึ้นมากมายอย่างรวดเร็ว เช่น Coursera, edX และ Udacity ในสหรัฐอเมริกา และ FutureLearn ในสหราชอาณาจักร โดยในปี 2015 Coursera มีจำนวนผู้เรียนทั้งหมด 17 ล้านคนทั่วโลก และยังมีมหาวิทยาลัยชั้นนำที่นำเสนอแพลตฟอร์ม MOOC อีกหลายแห่ง ได้แก่ Caltech, Harvard, MIT, Stanford, Sorbonne, Peking และ Oxford
ในปี 2011 มหาวิทยาลัย Stanford ได้เปิดหลักสูตรออนไลน์ฟรีขึ้นมา 3 หลักสูตร สำหรับทุกคนที่มีการเชื่อมต่อเว็บ หนึ่งในนั้นคือ MOOC ที่สอนเรื่องปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งสอนโดย Sebastian Thrun และ Peter Norvig โดยสามารถดึงดูดนักเรียนได้มากกว่า 160,000 คน เบื้องหลังของความสำเร็จนี้ Thrun และ Norvig ได้สร้าง Udacity ซึ่งเป็นรูปแบบธุรกิจใหม่สำหรับการเรียนการสอนออนไลน์ จนในปัจจุบันความนิยมของหลักสูตรจากมหาวิทยาลัย Stanford เป็นแรงบันดาลใจให้มหาวิทยาลัยต่างๆ นำเสนอระบบ MOOC มากมายหลายแห่ง ซึ่งมีอีก 2 แพลตฟอร์มที่โดดเด่น ได้แก่ Coursera และ EdX โดย The New York Times ได้ประกาศเมื่อปี 2012 เป็นปีแห่ง MOOC
ในปี 2013 Open University ได้สร้างแพลตฟอร์ม Mooc ของตัวเองขึ้นมา ใช้ชื่อว่า FutureLearn โดยนำเสนอหลักสูตรจากมหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักร และได้มีแพลตฟอร์ม MOOC อื่นๆ เกิดขึ้น ได้แก่ Open2Study ในออสเตรเลีย และ iversity ในเยอรมนี
ในปี 2014 จำนวนมหาวิทยาลัยที่นำเสนอหลักสูตร MOOC ได้เพิ่มเป็นสองเท่า เป็นมากกว่า 400 แห่ง ซึ่งมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐฯ 22 แห่งจาก 25 แห่ง มีหลักสูตรออนไลน์ฟรี
ในปี 2015 จำนวนนักเรียนที่ลงทะเบียนอย่างน้อยหนึ่งหลักสูตรใน MOOC มีจำนวนมากกว่า 35 ล้านราย เพิ่มขึ้นจากที่มีประมาณ 16 – 18 ล้านคนในปี 2014
เมื่อการพัฒนาทางเทคโนโลยีกำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด ทำให้มหาวิทยาลัยที่ยังมีการเรียนการสอนแบบดั้งเดิมอาจจะล้าสมัยลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งแนวโน้มที่ชัดเจนคือ มหาวิทยาลัยแบบดั้งเดิมจะถูกท้าทายจากสถาบันหรือบริษัทที่สามารถนำเสนอการให้บริการด้านการศึกษาแบบ online ที่มีความยืดหยุ่นสูง มีความทันสมัยด้านองค์ความรู้ใหม่ๆ ตามความต้องการของผู้เรียน มีราคาค่าเรียนที่ถูกกว่า มีการนำเสนอ content ด้วยเทคโนโลยีที่ถึงมือผู้คนทุกคนทั่วโลก และแน่นอน มหาวิทยาลัยจะต้องรีบปรับตัวก่อนที่จะถูกพลิกผัน คล้ายกับคนเลิกใช้ฟิล์ม เลิกใช้โทรศัพท์สาธารณะข้างถนน เลิกอ่านหนังสือพิมพ์ เลิกเดินไปใช้บริการธนาคารข้างถนน หรือลืมเรียกรถแท็กซี่แบบดั้งเดิม นั่นเอง
Reference
- http://www3.weforum.org/docs/WEF_New_Vision_for_Education.pdf
- https://www.digitalpulse.pwc.com.au/three-ways-education-disruption-digital-technology/
- https://www.weforum.org/agenda/2016/12/you-can-now-take-a-course-at-the-world-s-best-universities-for-free-here-s-how-that-happened/
…………………………………………………………………….
พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ
กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
ประวัติ: http://www.xn--42cf0a8cxa3ai5ple.com/?p=165
29 กันยายน 2561
www.เศรษฐพงค์.com