iPhone Xs และ iPhone Xs Max เปิดตัวเรียบร้อยแล้วในงานแถลงข่าวของ Apple เมื่อช่วงดึก คืนวันที่ 12 กันยายน 2018 ซึ่งเป็น iPhone รุ่นใหม่ล่าสุดและเรือธงแห่งปี 2018 ที่ล้ำสมัยที่สุด ทำงานบนชิพ A12 Bionic ซึ่งเป็นชิพแบบ 7 นาโนเมตรตัวแรกในสมาร์ทโฟน พร้อม Neural Engine เจเนอเรชั่นถัดไป รองรับ Face ID ที่เร็วขึ้น ระบบเสียงสเตอริโอที่ดังและสมจริง ตัวเครื่องสีทองใหม่ที่งดงาม และมาพร้อมซิมคู่เป็นครั้งแรกสำหรับ iPhone ด้วย
iPhone Xs ขนาดจอ 5.8 นิ้ว และ iPhone Xs Max จอใหญ่ 6.5 นิ้ว เป็นจอภาพ Super Retina ทั้งคู่ ซึ่งเป็น OLED แบบเฉพาะนั้นยังรองรับทั้ง Dolby Vision และ HDR10 และมีระบบจัดการสีสันทั้งระบบ iOS อัตราส่วนคอนทราสต์ 1,000,000:1 ให้ความสว่างที่โดดเด่น และแสดงสีดำได้ดำสนิท พร้อมช่วงไดนามิกที่กว้างขึ้นถึง 60% ในโหมด HDR โดย iPhone Xs Max นั้นมอบประสบการณ์ที่เต็มตายิ่งกว่าไม่ว่าจะดูวิดีโอ ชมภาพยนตร์ หรือเล่นเกม ด้วยจำนวนพิกเซลกว่า 3 ล้านพิกเซล เรียกได้ว่าเป็นจอภาพที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาบน iPhone ในขนาดที่ใกล้เคียงกับ iPhone 8 Plus
ตัวเครื่อง iPhone Xs และ iPhone Xs Max ขอบสแตนเลสสตีล มี 3 สีคือ สีทอง สีเงิน และสีเทาสเปซเกรย์ ดีไซน์เป็นกระจกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โดยใช้กระจกที่แข็งแกร่งที่สุด ทนรอยขีดข่วนได้ดียิ่งขึ้น ในขณะที่ด้านหลังตัวเครื่องที่เป็นกระจกทำให้สามารถชาร์จแบบไร้สายได้เร็วขึ้น
รองรับ IP68 ทนน้ำและฝุ่นได้ดีขึ้น สามารถอยู่ในน้ำลึกไม่เกิน 2 เมตร เป็นเวลาสูงสุด 30 นาที
มาพร้อมซีพียูใหม่ A12 Bionic ชิพ 7 ตัวแรกในสมาร์ทโฟน และ Neural Engine เจเนอเรชั่นใหม่
ชิพ A12 Bionic ที่ออกแบบโดย Apple เป็นชิพ 7 นาโนเมตรตัวแรกในสมาร์ทโฟน ใช้สถาปัตยกรรมฟิวชั่นแบบ 6 คอร์ ซึ่งมาพร้อมคอร์ประมวลผลการทำงาน 2 คอร์ที่เร็วขึ้น 15%, คอร์ประหยัดพลังงาน 4 คอร์ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น 50%, GPU แบบ 4 คอร์ที่เร็วขึ้น 50%, โปรเซสเซอร์รับสัญญาณภาพ (ISP) ที่ออกแบบโดย Apple, ตัวเข้ารหัสวิดีโอ และอีกมากมาย นอกจากนี้ยังมีตัวควบคุมการจัดเก็บข้อมูลอันรวดเร็ว แบตเตอรี่ของ iPhone Xs มีอายุการใช้งาน นานกว่า iPhone X ถึง 30 นาที ในขณะที่ iPhone Xs Max ใช้งานได้นานกว่า iPhone X ถึง 1 ชั่วโมง 30 นาที ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง
Neural Engine เจเนอเรชั่นใหม่ สร้างมาเพื่อการเรียนรู้ของระบบอันล้ำสมัยในทุกๆ เรื่อง ตั้งแต่การถ่ายรูปจนถึงเทคโนโลยีความจริงเสริม โดยดีไซน์ใหม่แบบ 8 คอร์นั้นทำให้สามารถดำเนินการได้ถึง 5 ล้านล้านรายการต่อวินาที เมื่อเทียบกับ A11 Bionic ที่ทำได้ 6 แสนล้านรายการ ทำให้เกิดความสามารถใหม่ๆ อย่างการตรวจจับระนาบที่เร็วขึ้นสำหรับ ARKit และคุณสมบัติใหม่ๆ ที่ใช้การเรียนรู้ของระบบแบบเรียลไทม์
นอกจากนี้ยังเป็นครั้งแรกที่มีการเปิดให้เรียกใช้งาน Neural Engine ผ่าน Core ML นักพัฒนาจึงสามารถสร้างแอพที่ใช้ประโยชน์จากการเรียนรู้ของระบบอันทรงประสิทธิภาพนี้ได้เต็มที่ ส่วน Core ML ที่ทำงานบน Neural Engine ของ A12 Bionic นั้นก็มีความเร็วเหนือกว่า A11 Bionic ถึง 9 เท่า โดยใช้พลังงานน้อยมากเพียง 1 ใน 10 เท่านั้นเอง
มาพร้อมกล้องคู่ ความละเอียด 12MP มาพร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวคู่แบบออปติคอล และการซูมแบบออปติคอล 2 เท่า ในขณะที่เซ็นเซอร์ใหม่ก็เร็วขึ้น 2 เท่า มี HDR อัจฉริยะ โบเก้ที่มีคุณภาพดียิ่งขึ้นในโหมดภาพถ่ายบุคคล และระยะชัดลึกแบบไดนามิกที่ผู้ใช้สามารถปรับเองได้ในแอพรูปภาพ
นอกจากนี้ โหมดภาพถ่ายบุคคลที่มาพร้อมการควบคุมระยะชัดลึกยังสามารถใช้กับการถ่ายเซลฟี่ด้วยกล้อง TrueDepth ได้ด้วย ทั้ง Memoji และการตรวจจับใบหน้าที่รวดเร็วยิ่งขึ้นสำหรับแอพ ARKit
iPhone Xs และ iPhone Xs Max สามารถถ่ายวิดีโอที่มีคุณภาพสูงสุดโดยมีทั้งพิกเซลที่ใหญ่ขึ้น รวมถึงเซ็นเซอร์ที่เร็วขึ้นและใหญ่ขึ้น ทำให้การถ่ายในสภาวะแสงน้อยและระบบป้องกันภาพวิดีโอสั่นไหวมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังอัดวิดีโอที่มีช่วงไดนามิกกว้างกว่าปกติได้ที่อัตราความเร็วของเฟรมสูงสุด 30 เฟรมต่อวินาที จึงแสดงรายละเอียดในส่วนไฮไลท์และเงามืดได้ครบถ้วนยิ่งขึ้น ยิ่งกว่านั้นยังมีไมโครโฟนมาให้ถึง 4 ตัว สามารถอัดเสียงในแบบสเตอริโอเพื่อให้วิดีโอที่ถ่ายมีความสมจริงมากที่สุดด้วยคุณภาพเสียงที่สามารถแยกเสียงซ้ายขวาได้
iPhone Xs และ iPhone Xs Max มาพร้อม LTE ระดับ Gigabit ดาวน์โหลดได้เร็วยิ่งขึ้น และเป็น 2 รุ่นแรกของตระกูล iPhone ที่รองรับ 2 ซิม โดยใช้ Nano-SIM และ eSIM แบบดิจิตอล ทำงานบนระบบปฏิบัติการ iOS12
iPhone Xs และ iPhone Xs Max วางจำหน่าย 3 สี และมีให้เลือกถึง 3 ขนาดความจุ คือ 64GB , 256GB และ 512GB
นี่คือราคา iPhone 2018 ทั้ง iPhone Xs และ iPhone Xs Max , iPhone XR แบบราคาเริ่มต้น..
เริ่มจองในต่างประเทศล็อตแรก ศุกร์ที่ 14 กันยายน เริ่มขายจริง 21 กันยายน ใน 30 ประเทศ โดยประเทศในเอเชียที่ได้จำหน่ายก่อนไทย ได้แก่ ออสเตรเลีย , จีน, ฮ่องกง, ญี่ปุ่น, ซาอุดีอาระเบีย, สิงคโปร์ และ ไต้หวัน ส่วนประเทศไทยคาดว่าจะจำหน่ายในช่วงเดือนตุลาคม 2018 นี้