นับว่าเป็นข่าวใหญ่ที่นักท่องเที่ยวชาวไทยที่จะเดินทางไปนอกประเทศผ่านทางเครื่องบิน ต้องตกตะลึง เพราะ นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร ออกประกาศ 2 ฉบับ ไฟเขียวสายการบิน Check Through ตรวจคน สัมภาระสำหรับเที่ยวบินต่อเครื่องไปต่างประเทศ แต่อีกฉบับมีการตรวจเข้มผู้โดยสารที่พกนำ“โน้ตบุ๊ก นาฬิกา กล้องถ่ายรูป กล้องวีดีโอ” ต้องแจ้งทุกครั้ง ยกเว้นอากรของติดตัวไม่เกิน 2 หมื่น ถ้ามูลค่าไม่เกิน 2 แสน ชำระอากรแบบเหมาๆได้ ส่วนของ Duty Free ซื้อแล้วต้องใช้เมืองนอก หากนำกลับไทยต้องจ่ายอากรด้วย
ประกาศกรมศุลกากรที่ 59/2561 โดยเนื้อหาสาระสำคัญคือ สำหรับเที่ยวบินขาเข้าจากต่างประเทศ เข้ามาในประเทศไทย แล้วต่อเครื่องไปยังสนามบินอื่นในไทย ไม่ว่าเที่ยวบินเดิมหรือเปลี่ยนเที่ยวบิน ให้ศุลกากรตรวจสัมภาระที่สนามบินแห่งแรก และตรวจหีบห่อสัมภาระที่บรรทุกใต้ท้องเครื่องบิน ที่สนามบินปลายทาง โดยหากมีของต้องเสียภาษีอากร หรือของต้องกำกัด (หมายถึง ต้องได้รับอนุญาตหรือปฏิบัติให้ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด) หรือไม่แน่ใจว่าของที่นำติดตัวมาเป็นประเภทใด ให้ผ่านการตรวจที่ช่องแดง (มีของต้องสำแดง) แต่ถ้าไม่มีของต้องเสียภาษีอากร ของต้องห้าม หรือของต้องกำกัด ให้ผ่านการตรวจที่ช่องเขียว (ไม่มีของต้องสำแดง) โดยสายการบินหรือตัวแทนต้องประกาศให้ผู้โดยสารทราบก่อนเครื่องบินลงจอด และติดเครื่องหมาย International Baggage Claim ที่หน้าอกเสื้อ และนำผู้โดยสารผ่านช่องตรวจศุลกากร
สำหรับสัมภาระที่บรรทุกใต้ท้องเครื่องบิน ให้สายการบินยื่นเรื่องต่อศุลกากรประจำสนามบิน โดยจะพิจารณาความพร้อมของสนามบิน ที่สามารถควบคุมและคัดแยกผู้โดยสาร หรือหีบห่อสัมภาระ แยกระหว่างผู้โดยสารในประเทศ และที่เดินทางจากต่างประเทศอย่างชัดเจน โดยสายการบินต้องติดเครื่องหมาย CIQ (Customs – Immigration – Quarantine) บนหีบห่อสัมภาระหรือตู้คอนเทนเนอร์ เมื่อถึงสนามบินปลายทาง ให้แยกผู้โดยสารที่ทำการ Check Through ไปตามช่องทางที่กำหนด เพื่อรับหีบห่อสัมภาระที่บรรทุกใต้ท้องเครื่องบิน และผ่านการตรวจจากพนักงานศุลกากรจนเสร็จสิ้นพิธีการ
ส่วนผู้โดยสารขาออก จากสนามบินในประเทศไปยังสนามบินอีกแห่งในประเทศ เพื่อไปยังต่างประเทศ สามารถปฏิบัติพิธีการตรวจปล่อยผู้โดยสารและหีบห่อสัมภาระของผู้โดยสาร ณ สนามบินต้นทางได้ โดยสารการบินหรือตัวแทนจะต้องนำผู้โดยสารพร้อมหีบห่อสัมภาระ ซึ่งจะเดินทางไปต่างประเทศไปผ่านการตรวจจากพนักงานศุลกากร ณ จุดตรวจหีบห่อสัมภาระผู้โดยสารขาออกที่สนามบินต้นทาง จากนั้นให้สายการบินแยกผู้โดยสารออกจากผู้โดยสารภายในประเทศ โดยติดเครื่องหมาย CIQ บริเวณหน้าอกเสื้อ รวมทั้งติดเครื่องหมาย CIQ บนหีบห่อสัมภาระหรือตู้คอนเทนเนอร์ เมื่อถึงสนามบินอีกแห่งในประเทศ กรณีเปลี่ยนเที่ยวบินให้สายการบินแยกผู้โดยสารที่ทำการ Check Through ไปตามช่องทางที่กำหนดพร้อมนำหีบห่อสัมภาระบรรทุกใต้ท้องเครื่องบินที่จะนำผู้โดยสารออกนอกประเทศต่อไป
กฎใหม่ที่นักท่องเที่ยว นักธุรกิจบินไปนอกต้องรู้ แบกโน้ตบุ๊ก – กล้องถ่ายรูป ต้องแจ้งศุลกากรทุกครั้ง
โดยเนื้อหาสำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวที่ถือกล้อง และ โน้ตบุ๊ก ไปต่างประเทศ ตามประกาศกรมศุลกากรที่ 60/2561 ซึ่งเป็นประกาศล่าสุด มีสาระสำคัญที่นักเดินทางจะต้องพึงรับทราบ ก็คือ กรณีเดินทางออกนอกประเทศ หากจะนำของมีค่าออกไป เช่น นาฬิกา กล้องถ่ายวีดีโอ กล้องถ่ายรูป คอมพิวเตอร์สำหรับพกพา ซึ่งมีเครื่องหมาย เลขหมายที่สามารถตรวจสอบได้ ให้แจ้งต่อพนักงานศุลกากร ณ ห้องที่ทำการศุลกากรบริเวณห้องผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ โดยต้องนำภาพถ่ายของสิ่งของที่นำมาแจ้งจำนวน 2 ชุด เจ้าหน้าที่จะมอบใบรับแจ้งของมีค่าที่ผู้โดยสารนำติดตัวออกไป
เมื่อกลับมายังประเทศไทย ให้แสดงใบรับแจ้งของมีค่าต่อพนักงานศุลกากรช่องแดงในวันเดินทางกลับประเทศไทย เพื่อขอรับการยกเว้นอากรในฐานะของใช้ส่วนตัว โดยต้องเป็นของเก่าใช้แล้ว และมีจำนวนพอสมควรแก่การเดินทาง มีเครื่องหมาย เลขหมาย (Serial Number) หรือหลักฐานอื่นที่สามารถตรวจสอบได้ พนักงานศุลกากรอาจทำเครื่องหมาย หรือเลขหมายแสดงไว้เป็นหลักฐาน หากเป็นของมีค่าหรือของส่วนตัวที่ผู้โดยสารนำติดตัวไปขณะเดินทางออกนอกประเทศ ที่ใช้เป็นปกติวิสัยในระหว่างการเดินทาง หรือเครื่องประดับการแต่งกายตามปกติ ไม่ต้องแจ้งต่อพนักงานศุลกากร
สำหรับผู้โดยสารขาเข้าจากต่างประเทศ ของส่วนตัวที่เจ้าของนำเข้ามาพร้อมกับตนทางอากาศยาน ที่จะสามารถได้รับการยกเว้นอากร คือ ของส่วนตัวที่เจ้าของที่นำเข้าพร้อมกับตน สำหรับใช้เองหรือใช้ในวิชาชีพและมีจำนวนพอสมควร มีราคารวมกันไม่เกิน 20,000 บาท ให้ได้รับยกเว้นอากร รวมทั้ง บุหรี่ 200 มวน หรือ ซิการ์ หรือ ยาเส้น อย่างละ 250 กรัม หรือหลายชนิดรวมกันมีน้ำหนักทั้งหมด 250 กรัม แต่บุหรี่ต้องไม่เกิน 200 มวน, สุรา 1 ลิตร หากนำของเข้ามาเกินกว่าปริมาณที่กำหนด ให้สละการครอบครอง โดยนำไปใส่ไว้ในกล่องโปร่งใส (Drop Box) ที่ทางศุลกากรได้จัดทำไว้ด้านหน้าช่องเขียว – ช่องแดง
หากสิ่งของที่ผู้โดยสารนำติดตัวเข้ามาพร้อมกับตน (Accompained Baggage) ในวันเดินทางมาจากต่างประเทศ โดยไม่เป็นของต้องห้าม หรือของต้องจำกัดในการนำเข้า มีมูลค่ารวมกันไม่เกิน 200,000 บาท หรือเป็นของที่มีมูลค่าเกินกว่า 200,000 บาท และนำติดตัวเข้ามาเพียงชิ้นเดียว ให้อยู่ในอำนาจของพนักงานศุลกากรที่ดูแลโดยตรง จัดเก็บอากรปากระวาง ประกอบด้วย อากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต ภาษีเพื่อมหาดไทย และค่าธรรมเนียมอื่นๆ (ถ้ามี)
ส่วนสินค้าปลอดภาษี (Duty Free) ของที่ซื้อจากร้านค้าปลอดอากรขาออกในเมือง หรือร้านค้าปลอดอากรภายในอาคารผู้โดยสารขาออก ณ สนามบิน จะต้องนำออกไปนอกราชอาณาจักรเท่านั้น หากนำกลับเข้ามาให้ผ่านการตรวจที่ช่องแดง (Goods to Declare) และชำระอากรด้วย
ซึ่งประกาศนี้มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2561 ที่ผ่านมา
จากข่าวที่ศุลกากรได้ออกประกาศใหม่นี้ ทำให้คนไทยที่เป็นนักท่องเที่ยว หรือนักธุรกิจ ได้แสดงความคิดเห็นบนโลกโซเชียลตามมาถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมา โดยเฉพาะการแจ้งเรื่องของใช้ส่วนตัวทั้งกล้องและโน้ตบุ๊ก ที่ศุลกากรด้านผู้โดยสารขาออก ที่อาจทำให้ใช้ระยะเวลานานขึ้นเสี่ยงตกเครื่องบิน เพราะจุดตรวจไม่เพียงพอ และประเด็นจำกัดของส่วนตัวในมูลค่าไม่เกิน 20000 บาท โดยแค่กล้องหรือคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คสเปคดีๆส่วนใหญ่ราคาก็อยู่ในช่วง 18,000-30,000 บาทแล้ว ยิ่ง Macbook ราคาก็ 30000 กว่าบาทขึ้นไปด้วย
อย่างไรก็ตามหากมีข้อสงสัยเกี่ยวประกาศนี้และอยากทราบรายละเอียด สอบถามไปที่สายด่วนบริการกรมศุลกากร 1164
ข้อมูลจาก
- ประกาศที่ 59/2561 เรื่อง “หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการปฏิบัติการศุลกากรในการตรวจปล่อยผู้โดยสารและหีบห่อสัมภาระระหว่างสนามบินภายในประเทศ โดยวิธีการ Check Through”
- ประกาศที่ 60/2561 เรื่อง “การปฏิบัติพิธีการศุลกากรของติดตัวผู้โดยสารที่นำติดตัวเข้ามาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรพร้อมกับตนทางอากาศยาน”
Update รายงานจากเดลินิวส์ออนไลน์ รายงานว่า ” นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวชี้แจงว่า ประกาศ 2 ฉบับดังกล่าวไม่ใช่กฎหมายใหม่ แต่เป็นการนำกฎหมายฉบับเดิมที่มีการยกเลิกไปก่อนหน้านี้ กลับมาประกาศให้มีผลบังคับใช้อีกครั้ง เนื่องจากเมื่อปลายปีที่แล้ว กรมศุลฯ มีการปฏิรูปกฎหมายศุลกากรครั้งใหญ่ โดยใช้พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560 ทำให้ประกาศที่มีอยู่ภายใต้กฎหมายเดิมต้องถูกยกเลิกตามไปด้วย ส่งผลให้ขณะนี้กรมฯต้องทยอยนำประกาศกฎหมายเดิมออกมาประกาศใช้ ให้รองรับพ.ร.บ.ใหม่ที่เพิ่งเริ่มใช้…
ส่วนกรณี นำนาฬิกา กล้อง และ โน้ตบุ๊ค ต้องแจ้งศุลกากรนั้น เป็นการอำนวยความสะดวกในกรณีผู้โดยสารที่ต้องนำของที่มีมูลค่ามากๆติดตัวออกไปต่างประเทศ ก็ให้ทำหลักฐานแจ้งไว้ก่อนเดินทางออก เพื่อเขากลับมาแล้วจะได้ไม่ต้องตรวจซ้ำ หรือถ้าหากถูกสุ่มตรวจจะได้มีหลักฐานยืนยันไว้ว่าเป็นของใช้ตัวเอง ซึ่งเป็นกฎหมายเดิมที่เคยมีอยู่ ซึ่งผู้โดยสารไม่จำเป็นต้องไปแจ้งทุกคน…
ข้อมูลจาก เดลินิวส์ https://www.dailynews.co.th/economic/631093