การเปลี่ยนแปลงของโลกด้วยอัตราเร่งตามกฎของมัวร์ (Moore’s law) ได้มาถึงจุดทดสอบที่สำคัญในปีนี้แล้ว (2018) เพราะเนื่องจากกฎดังกล่าวได้คำนวณไว้ว่า ตั้งแต่ปี 2015 จนถึงปี 2020 เราจะเริ่มพบกับปรากฏการณ์การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลอย่างแท้จริง อย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ปรากฏการณ์ที่โลกกำลังถูกท้าทายจากกลุ่มคนเล็กๆ หากเทียบกับประชากร 7.6 พันล้านคน ที่กำลังนำเสนอรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ ในรูปแบบองค์กรเสมือน (Virtual organization) ที่องค์กรของพวกเขาประกอบไปด้วยคนจำนวนนับสิบเท่านั้น โดยที่ส่วนใหญ่เป็นนักคิดค้นรูปแบบธุรกิจที่ทำงานแบบอัตโนมัติ, นักพัฒนาซอฟต์แวร์ และนักเขียนโปรแกรม Blockchain ซึ่งพวกเขากำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับมวลมนุษย์ชาติให้เข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 อย่างชัดเจนมากขึ้นทุกวินาที
องค์กรหรือบริษัทเล็กๆ เหล่านี้ มักจะหาประเทศที่ยอมรับการจดทะเบียนบริษัทที่อนุญาตให้สามารถระดมทุนจากทั่วโลกด้วยวิธี Initial Coin Offering (ICO) โดยต้องการเงินจำนวนน้อยจากคนจำนวนมาก แต่ไม่ต้องการเงินจำนวนมากจากคนไม่กี่คน และการระดมทุนดังกล่าวจะประกาศบนอินเทอร์เน็ต กำหนดวัน เวลา ในการซื้อ Cryptocurrency (Coin) เป็นตัวแทนหน่วยลงทุนหรือเป็นการเข้าร่วมในการใช้บริการ ซึ่งผู้คนทั่วไปยังมีความเข้าใจผิดว่ามันคือสกุลเงินเท่านั้น เนื่องจากการที่มันสามารถถูกนำมา trade เก็งกำไรบนกระดานการแลกเปลี่ยน Cryptocurrency ที่กำลังนิยม trade กันทั่วโลก โดยเฉพาะเกิดขึ้นมากมายในกลุ่มคนรุ่นใหม่ในประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี เป็นต้น
ซึ่งถ้าเราลองเข้าไปสืบค้นการทำธุรกิจของบริษัทต่างๆ ที่เสนอ Cryptocurrency ออกมานั้น เราจะพบว่าแท้ที่จริงแล้ว Coin เหล่านั้น อาจทำหน้าที่เป็น smart contract หรือจะเป็นตัวแทน value ของการทำธุรกรรม ไปจนถึงอาจเป็นการแทนมูลค่าของปริมาณของพลังงานแสงอาทิตย์ก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเขียนโปรแกรมเข้ารหัสบน Blockchain ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการทำธุรกิจเฉพาะของบริษัทนั้นๆ
ปรากฏการณ์ดังกล่าว หากขาดความเข้าใจและไม่ได้ติดตามโดยใกล้ชิด จะทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะแท้ที่จริงแล้วองค์กรใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมากมายทุกวันจากคนรุ่นใหม่เหล่านี้ กำลังดำเนินการอยู่บนอินเทอร์เน็ตที่ถูกโปรแกรมไว้ด้วยการใช้อัลกอริทึม Blockchain ซึ่งทำให้องค์กรสามารถเชื่อมโยงกับคนทั้งโลกผ่านสมาร์ทโฟน และผู้คนที่เข้ามาใช้บริการรูปแบบธุรกิจดังกล่าว สามารถทำธุรกรรมอย่างปลอดภัยบนแพลตฟอร์ม Blockchain ดังกล่าวทุกวินาทีตลอด 24 ชั่วโมง โดยใช้พนักงานน้อยมากหรือปราศจากพนักงาน และนี่คือสาเหตุที่องค์กรต่างๆ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการอพยพการทำธุรกรรมแบบโบราณ เข้าสู่การทำธุรกรรมอัตโนมัติบน Blockchain ได้อีกต่อไปในอนาคตอันใกล้
ส่วนประเด็นการเก็งกำไรบน Cryptocurrency ซึ่งเป็นเรื่องความโลภของมนุษย์ ที่เกิดทุกที่ที่มี value เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและหากมองเข้าไปในแก่นแท้ถึงประโยชน์ของมันเราก็จะพบ value ของมัน แต่แน่นอนก็ต้องมีคนจำนวนมากที่อยากแสวงหาวิธีการรวยทางลัดเข้ามาร่วมวง จนเกิดความสับสนวุ่นวาย จนทำให้เกิดหมอกควัน ม่านบังตาถึงแก่นแท้ของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่แท้จริงในอนาคต
การต่อสู่ในการอพยพสู่ดินแดนดิจิทัลแห่งใหม่ โดยกลุ่มคนที่มีความสามารถด้านเทคโนโลยีที่เรามักเรียกพวกเขาว่า “Elite group” ซึ่งมีตัวอย่างในอดีตที่เกิดขึ้น เช่น Mark Zuckerberg (Facebook) , Jeff Bezos (Amazon), Steve Jobs (Apple) ไปจนถึง Elon Musk (Tesla, SpaceX และ Solar City) ต่างก็เป็นบุคคลที่โลกเมื่อ 20 ปีที่แล้วไม่มีคนรู้จักเลย แต่ในวันนี้พวกเขาได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ผู้ที่มีความรู้เหนือชั้นด้านเทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง จากนักศึกษาตัวเล็กๆ กลายเป็นผู้ประกอบการที่ยิ่งใหญ่ติดอันดับ Top10 ของมหาเศรษฐีระดับโลกได้ในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งหากย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์แล้วจะพบว่าบุคคลเหล่านี้ล้วนฝ่าด่านอรหันต์ที่มีการต่อต้านจากรูปแบบเศรษฐกิจดั้งเดิมมาแล้วทั้งสิ้น…และประวัติศาสตร์กำลังซ้ำรอย
ผลลัพธ์จากการต่อสู้ด้วยการเปลี่ยนแปลงรูปแบบธุรกิจดั้งเดิมไปสู่รูปแบบธุรกิจสู่ดิจิทัลใน 20 ปีที่ผ่านมาจากพวกเขา ทำให้เราพบความจริงที่ประจักษ์แล้วว่า
– Mark Zuckerberg (Facebook) ได้ทำการพลิกผัน (Disruption) อุตสาหกรรมสื่อและบันเทิงทั่วโลก จนทำให้อุตสาหกรรมหนังสือพิมพ์ สื่อ และฟิล์ม ในสหรัฐอเมริกาต้องปิดตัวไปมากมายในปี 2014 จนเหลือแต่บริษัทที่ปรับตัวและยอมรับความจริง สามารถวิ่งเข้าสู่ดิจิทัลได้ทันโดยไม่ล้มลง
– Jeff Bezos (Amazon) ซึ่งในช่วงเริ่มก่อตั้งบริษัทก็ไม่มีนักลงทุนคนใดจะเชื่อว่า บริษัทธุรกิจรูปแบบ Online อย่าง Amazon จะมาส่งผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกทั่วโลก จนทำให้ยักษ์ใหญ่ค้าปลีก เช่น Walmat, JCPenney, Macy’s ต้องปิดสาขาไปมากมาย
– Steve Jobs (Apple) เป็นผู้พิสูจน์ให้เห็นว่า บริษัทโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ยิ่งใหญ่อย่างเช่น NOKIA ที่ไม่สามารถตอบโจทย์ผู้คนส่วนใหญ่ได้ ก็ล้มลงอย่างรวดเร็ว เพียงแค่หน้าจอสัมผัส และ Applications ที่ง่ายต่อการใช้งาน และสามารถเชื่อมโยงกับทุกธุรกิจได้
– Elon Musk (Tesla, SpaceX และ Solar City) กำลังจะเข้ามาโค่นอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน Fossil และกำลังเข้ามา disrupt อุตสาหกรรมพลังงาน แม้แต่อุตสาหกรรมกระเบื้องมุงหลังคาก็ยังจะถูก disrupt โดย Tesla ที่สามารถคิดค้นกระเบื้องมุงหลังคาที่เคลือบ Solar Cell แล้วต่อเข้า Storage ได้โดยตรง
ตัวอย่างเหล่านี้เป็นเพียงบทเรียนที่สำคัญที่กำลังจะบ่งบอกถึงอนาคตต่อจากนี้ ภายใน 5 – 10 ปีข้างหน้า ว่าทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะตัวอย่างดังกล่าวได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่อินเทอร์เน็ตเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น เพราะนับจากนี้ไปอินเทอร์เน็ตได้มาถึงจุด ที่มันสามารถทำงานเองได้ตามที่เรากำหนดตลอดเวลาทุกวินาที โดยที่มันสามารถที่จะถูกโปรแกรม (Programmable) ได้ด้วย Blockchain ที่ทำให้มันทำงานได้อย่างอัตโนมัติ ตามที่เรากำหนดไว้ในอัลกอริทึม จนมันจะส่งผลให้องค์กรที่เกิดใหม่ที่มีคนจำนวนนับสิบจาก Elite group เหล่านี้ จะมีขีดความสามารถอย่างก้าวกระโดด และท้าทายองค์กรรูปแบบดั้งเดิมที่มีคนจำนวนนับพันต้องค่อยๆ ล่าถอยไป
“The blockchain is an incorruptible digital ledger of economic transactions that can be programmed to record not just financial transactions but virtually everything of value.”
Don & Alex Tapscott, Blockchain Revolution (2016)
“อ่านจบแล้วอย่าเพิ่งเชื่อทันที ท่านสามารถหาข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือได้ทั่วไปในอินเทอร์เน็ต”
พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ
กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
ประวัติ: http://www.xn--42cf0a8cxa3ai5ple.com/?p=165
22 มกราคม 2560
www.เศรษฐพงค์.com