การเปลี่ยนผ่านที่สำคัญยิ่งของเทคโนโลยีดิจิทัลได้เข้ามาถึงแล้วจนได้ เมื่อ iPhone ได้ประกาศว่าจะนำเอาการบ่งบอกตัวตนด้วยวิธีการตรวจจับใบหน้า (Facial recognition) หรือระบบ “FaceID” มาใช้บน smartphone และคาดว่า smartphone ทุกยี่ห้อไม่ว่าจะเป็น Samsung, Huawei และอื่นๆ จะวิ่งตามมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน
พร้อมกันกับหนังสือ The Economist ฉบับล่าสุดก็ได้ตีพิมพ์บนหน้าปกด้วยหัวข้อ “What machines can tell from your face?” โดยเนื้อหาในเล่มได้วิเคราะห์ว่า เทคโนโลยีอ่านใบหน้ามนุษย์จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความสามารถของมนุษย์อย่างชัดเจน โดยมันจะทำให้วิธีคิดด้านการบริหารจัดการตั้งแต่ระดับตัวบุคคลไปจนถึงระบบนิเวศในทุกอุตสาหกรรมเปลี่ยนไป และแน่นอน มันกำลังคืบเข้ามาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เพราะมันกำลังเข้ามาถึงมือของทุกคนด้วยราคาถูกนั่นเอง
แน่นอนหากมองผิวเผินจากผู้ใช้งานทั่วไปก็อาจมองเพียงว่า มันก็แค่แอพพลิเคชั่นหนึ่งที่เพิ่มขึ้นเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้งานของผู้ใช้เท่านั้น แต่ในมุมมองของนักนวัตกรรมและนักอนาคตศาสตร์หลายท่านที่ได้เคยเขียนไว้ในหนังสือที่เกี่ยวกับการคาดการณ์อนาคตหลายเล่ม ตัวอย่างเช่น As the Future Catches You ของ Juan Enriquez หรือจะเป็นหนังสือที่ชื่อ The World is Flat ของ Thomas L. Friedman ก็ได้วิเคราะห์คาดการณ์ว่า โลกของเราจะวิ่งเข้าสู่ความชาญฉลาดอย่างยิ่ง โดยมนุษย์ทุกคนจะสามารถใช้อุปกรณ์เล็กๆบนมือเข้าถึงข้อมูลอันมหาศาล สามารถควบคุมเครื่องจักรระยะไกล และมีขีดความสามารถในการวิเคราะห์และประมวลผลขั้นสูงอย่างรวดเร็ว
หนังสือนาคตศาสตร์บางเล่มที่ตีพิมพ์มานานกว่า 10 ปีมาแล้วได้กล่าวไว้ว่า “ในอนาคตมนุษย์จะสามารถสืบค้นข้อมูลด้วยภาพและสามารถบ่งบอกถึงตำแหน่งของรูปนั้นได้อย่าง realtime และยังสามารถส่งภาพเคลื่อนไหวแบบ realtime ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาสถานีโทรทัศน์” ซึ่งหากอ่านข้อความที่หนังสือเหล่านั้นตีพิมพ์ใหม่ๆ ผู้อ่านคงนึกภาพไม่ออก และไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไรนัก แต่ในปัจจุบันผู้อ่านทุกท่านคงเข้าใจแล้วว่ามันคืออะไรที่เกิดขึ้นจริงแล้วในวันนี้
จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่กำลังทำให้เทคโนโลยีดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่เชื่อมโยงผู้คนทั่วโลกกว่า 4.5 พันล้านคนด้วย smartphone และด้วยจำนวนบัญชีผู้ใช้ Facebook ถึง 2 พันล้านคน รวมไปถึงการเชื่อมโยงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (IoT) ทั่วโลกผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนับแสนล้านชิ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า กำลังจะทรงพลังมากขึ้นในทันทีที่การบ่งบอกตัวตนด้วยใบหน้าบน smartphone ใช้อย่างแพร่หลาย ทั้งนี้เพราะใบหน้าของพวกเราที่เป็นเจ้าของ smartphone จะสามารถถูกค้นหาได้อย่างมีประสิทธิภาพในทันที เพราะการเชื่อมโยงข้อมูลใบหน้ากับ smartphone, social media และ search engine เช่น Facebook และ Google จะทำงานร่วมกัน จนทำให้มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้สามารถค้นหาข้อมูลบุคคล ตำแหน่งที่ตั้งของบุคคลและสถานที่ และการวิเคราะห์พฤติกรรมกลุ่มคนเฉพาะได้อย่างชาญฉลาด รวมไปจนถึงการทำธุรกรรมทางการเงินจะเปลี่ยนไปแบบถอนรากถอนโคน จนอาจทำให้ระบบสถาบันทางการเงินต้องออกแบบระบบนิเวศการให้บริการรูปแบบใหม่ ที่จะต้องเอาตัวรอดในการต่อสู้กับบริษัท Fintech ที่ชาญฉลาดกว่า ที่กำลังจะปรากฏตัวขึ้นอีกมากมายนับจากนี้ไป
การปรากฏของนวัตกรรมการตรวจจับใบหน้าในลักษณะนี้อาจจะทำให้การก้าวกระโดดของเทคโนโลยีอื่นๆ ถูกกระตุ้นให้สามารถเพิ่มขีดความสามารถให้สูงขึ้นอย่างฉับพลัน และด้วยราคาที่ถูกลงมาก จนทำให้มีการลุกลามใช้งานอย่างแพร่หลายอย่างรวดเร็ว ที่นักนวัตกรรมและนักอนาคตศาสตร์เรียกปรากฏการณ์ดังกล่าวว่า การถึงจุด “Tipping point” นั่นเอง
หากอธิบายความหมายอย่างง่ายของคำว่า Tipping point ก็สามารถยกตัวอย่างเปรียบเทียบ ที่กระดาษแผ่นเล็กๆติดไฟแล้วค่อยๆลุกลามไปทั่วบ้านอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถดับไฟได้ทันนั่นเอง ซึ่งมันอาจจะถึงเวลานั้นแล้วในอนาคตอันใกล้
Reference
[1] https://www.economist.com/news/leaders/21728617-life-age-facial-recognition-what-machines-can-tell-your-face
[2] https://en.m.wikipedia.org/wiki/The_Tipping_Point
พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ
กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
ประวัติ: http://www.xn--42cf0a8cxa3ai5ple.com/?p=165
16 กันยายน 2560
www.เศรษฐพงค์.com