ประเทศที่มีวิสัยทัศน์ที่สามารถพยากรณ์อนาคตได้แม่นยำกว่า มักจะเป็นประเทศที่ก้าวหน้ากว่าประเทศอื่น ๆ ในโลก เพราะสามารถมองเห็นแนวทางและกำหนดนโยบายที่ประเทศควรจะเดินต่อไปเพื่ออนาคตได้อย่างเหนือชั้น จึงทำให้ในปัจจุบัน ภาครัฐและภาคเอกชนทั่วโลกได้จับตามอง R&D ในสาขาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), การวิเคราะห์ข้อมูล Big data, อินเทอร์เน็ต, Biotech โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านพลังงาน เพราะรูปแบบของพลังงานที่กำลังจะเปลี่ยนไปในอนาคตภายใน 10ปีข้างหน้า กำลังจะเป็นต้นตอในการพลิกผันอุตสาหกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโลจิสติกส์, การขนส่ง, ยานยนต์, การก่อสร้าง, การผลิตสินค้า และอื่นๆ ซึ่งสามารถพูดได้ว่าในทุกอุตสาหกรรม
ในห้วงเวลาที่ผ่านมา มีการคาดการณ์ใหม่ ๆ จากผู้เชี่ยวชาญมากมายเกิดขึ้นว่าเราจะใช้พลังงานทดแทนในทศวรรษต่อ ๆ ไปอย่างไร เราจะใช้พลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมดภายในสองปีหรือไม่ หรือในห้าปีเราจะใช้นิวเคลียร์มากขึ้นหรือน้อยลง ลองมาดูว่าการคาดการณ์ที่น่าตื่นเต้นที่สุด (และที่คาดไม่ถึง) ที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่มีใครบอกได้ว่าสุดท้ายแล้วสิ่งเหล่านี้จะถูกต้องหรือไม่ โดยการคาดการณ์ที่น่าสนใจในด้านพลังงาน สามารถยกตัวอย่างได้ ดังต่อไปนี้
การคาดการณ์: พลังงานแสงอาทิตย์จะประหยัดกว่าการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลภายใน 10 ปี
สถาบันวิศวกรไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (Institute of Electrical and Electronic Engineers (IEEE)) คาดการณ์ว่าระบบพลังงานสงอาทิตย์อาจเป็นรูปแบบที่ประหยัดที่สุดในการผลิตกระแสไฟฟ้าภายในทศวรรษนี้ ถ้าอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ยังคงพัฒนาประสิทธิภาพของเซลล์แสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่องและทำให้เกิดการประหยัดจากการใช้ในจำนวนมหาศาล (economy of scale) ได้ ซึ่งขณะนี้มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นจริงแล้ว
James Prendergast กรรมการบริหารของ IEEE กล่าวว่า “ทั้งนี้เนื่องจากต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ยังคงลดลงเมื่อเทียบกับการผลิตจากแหล่งพลังงานแบบดั้งเดิม เราจะเห็นการใช้ในตลาดมากขึ้น โดยพื้นฐานนั้นทำให้เชื่อได้ว่าพลังงานแสงอาทิตย์จะกลายเป็นส่วนสำคัญในการแก้ปัญหาด้านพลังงานทั้งระยะสั้นและระยะยาว”
การคาดการณ์: พลังงานแสงอาทิตย์จะมีราคาถูกเทียบเท่าถ่านหินภายในสองปี
ไม่ต้องรอถึงทศวรรษ ที่นักวิจัยที่ Bloomberg New Energy Finance วิเคราะห์ว่า พลังงานแสงอาทิตย์อาจจะถึงจุด grid parity (คือ จุดที่แสงอาทิตย์มีราคาถูกเทียบเท่ากับพลังงานจากฟอสซิล) ในอีกสองปีข้างหน้าในภูมิภาคที่มีแดดจัด เช่นตะวันออกกลาง และนักวิจัยยืนยันว่าพลังงานแสงอาทิตย์สามารถแข่งขันได้ โดยในปัจจุบันถ่านหินคิดเป็นต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าที่ประมาณ 7 เซนต์ต่อวัตต์ และ 22 เซนต์ต่อวัตต์สำหรับพลังงานแสงอาทิตย์ อย่างไรก็ตามในอีกไม่กี่ปี ต้นทุนเหล่านี้คาดว่าจะเท่ากัน แต่เรายังมีก๊าซธรรมชาติที่เหลือเฟือจนอาจจะทำให้การพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์จะช้าลงหรือไม่? ซึ่งก็ยังเป็นข้อสงสัย
การคาดการณ์: ก๊าซธรรมชาติจะมาทำลายการใช้พลังงานทดแทน
ก๊าซธรรมชาติจะมาทำลายเศรษฐกิจของพลังงานทดแทนในอีกหลายปีข้างหน้าตามรายงานจากรอยเตอร์ ในขณะที่ราคาพลังงานแสงอาทิตย์และลมยังคงลดลง ก๊าซธรรมชาติยังราคาสูงอยู่ เนื่องจากถึงแม้ว่าจะมีการกล่าวว่าลมนอกชายฝั่งมีต้นทุนเท่ากับก๊าซธรรมชาติในปี 2015 (ตามที่ E.ON สาธารณูปโภคของเยอรมนีคาดการณ์ไว้) และยังมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการสร้างระบบสำรองสำหรับรองรับเวลาที่ลมไม่พัด ตราบใดที่ราคาถูก ก็ง่ายสำหรับสาธารณูปโภคที่จะเลือกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลแทนที่จะเป็นแหล่งพลังงานทดแทน
การคาดการณ์: รถยนต์ไฟฟ้า (EVs) จะเปลี่ยนอุตสาหกรรมการขนส่งและสร้างปัญหาใหญ่สำหรับอุตสาหกรรมน้ำมันภายในปี 2030
จากหนังสือเรื่อง Clean Disruption ที่เขียนขึ้นในปี 2014 การพลิกโฉมใหม่ของพลังงานและการขนส่ง โดย Tony Seba อาจารย์แห่ง Stanford University เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของปรากฏการณ์พลังงานสะอาดที่พลิกโฉมโลก เขาได้พัฒนา model การพยากรณ์เพื่อความเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีจากประสบการณ์หลายปีในขณะที่เขาเป็นผู้ประกอบการ โดยเขาคาดการณ์ว่าจะมีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์มากขึ้นอย่างก้าวกระโดด และ Tony Seba ยังเชื่อว่ารถยนต์ไฟฟ้า (EVs) จะเปลี่ยนอุตสาหกรรมการขนส่งและสร้างปัญหาใหญ่สำหรับอุตสาหกรรมน้ำมันภายในปี 2030
Tony Seba คาดการณ์ว่าภายในปี 2020 อุตสาหกรรมยานยนต์จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถขับได้ระยะทาง 320 กิโลเมตรในราคาประมาณ 30,000 เหรียญสหรัฐ (ยังไม่ได้รับการสนับสนุน) ซึ่งเป็นราคาที่ใกล้เคียงกับรถยนต์ทั่วไป ดังนั้นในเพียงอีกไม่กี่ปี รถยนต์ไฟฟ้าจะมีราคาถูกกว่าที่จะซื้อกว่ารถยนต์อเมริกันทั่วไป และจะถูกลงโดยเฉลี่ย 5-10 เท่าสำหรับการบำรุงรักษา เขาคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 รถยนต์ที่ผลิตทั้งหมดจะเป็นรถที่ใช้ไฟฟ้า
การคาดการณ์: เราสามารถใช้พลังงานได้ 100% ด้วยพลังงานทดแทนภายในปี 2050
แน่นอนว่ามันไม่น่าเป็นไปได้ แต่ทีมวิจัยของ Stanford เชื่อว่าเราสามารถขับเคลื่อนโลกด้วยพลังงานทดแทนภายในปี 2050 ได้ หากเราบังคับว่าโรงงานผลิตพลังงานที่สร้างใหม่ทั้งหมดต้องใช้พลังงานทดแทนภายในปี 2030 และแปลงโรงงานที่มีอยู่แล้วภายในปี 2050 จากการมองในแง่ดีนี้ 90% ของการผลิตพลังงานจะมาจากพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์และอีก 10% จะมาจากพลังน้ำ พลังงานความร้อนใต้พิภพและพลังงานจากคลื่น (น้ำขึ้นน้ำลง) รถยนต์ รถไฟ เรือและการขนส่งรูปแบบอื่นๆ จะใช้เซลล์เชื้อเพลิงที่ใช้ไฮโดรเจนและเครื่องบินจะใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนด้วย และอาจจะทำให้อุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิลหายไปทั้งหมด นี่อาจจะเป็นความฝัน แต่อย่างน้อยก็เป็นการสร้างแรงบันดาลใจที่เราควรจะกลับมาย้อนดูเมื่อถึงปี 2050 แล้ว
Reference
[1] https://www.fastcompany.com/1760900/five-predictions-future-energy
[2] Tony Seba on Disruptive Technologies at SeouLA 2017: https://m.youtube.com/watch?v=M27KECEL5Zo
พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ
กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
ประวัติ: http://www.xn--42cf0a8cxa3ai5ple.com/?p=165
30 กรกฎาคม 2560
www.เศรษฐพงค์.com
ติดต่อผู้เขียน
[email protected]