Fintech จำนวนมากอย่างเช่น Paypal, Apple Pay และ Stripe ที่ผู้คนชื่นชอบในความสะดวกและง่ายในการใช้งาน อย่างไรก็ตาม หากระบบ Fintech เหล่านี้ล้มเหลวแม้เพียงวินาทีเดียว ก็อาจทำให้ความน่าเชื่อถือหมดไปได้เช่นกัน ดังนั้นการให้ความร่วมมือทางด้านกฎหมายกับหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงิน จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก เพื่อให้การบริการ Fintech มีความปลอดภัยและมีความน่าเชื่อถือ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วทุกประเทศจะมีหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินที่แตกต่างกันไปตามวัฒนธรรม, ระบบการเงิน และประสบการณ์ในอดีตของแต่ละประเทศ
Fintech มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำเอากฎระเบียบเข้ามาเป็นฟังก์ชั่นงานหลักขององค์กร ยอมรับกฎระเบียบ เรียนรู้ว่าหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินทำงานอย่างไร และมีมาตรการการกำกับดูแลอย่างไร
กรณีศึกษา: สหรัฐอเมริกา: A Single Market with Complex, Multi-level Regulation
หน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐอเมริกา ที่มีการกำกับดูแลหลายระดับ เมื่อเทียบกับประเทศในยุโรปและเอเชียที่อำนาจในการควบคุมส่วนใหญ่อยู่ภายใต้ผู้กำกับดูแลกิจการธนาคาร แต่ในสหรัฐอเมริกา ธนาคารต้องมีการกำกับดูแลทั้งในระดับประเทศและในระดับรัฐ ขึ้นอยู่กับประเภทของการดำเนินงานของธนาคารและโครงสร้างองค์กร
โครงสร้าง Fintech ที่มีความซับซ้อนในสหรัฐอเมริกา เช่น หากต้องการจัดการการลงทุนและคำแนะนำ คุณจะต้องมีการศึกษากฎหมายของรัฐที่เกี่ยวข้องก่อนเป็นอันดับแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลูกค้า นอกจากนั้นคุณจะไม่ได้รับอนุญาตให้บริการลูกค้าต่างประเทศ เว้นแต่ว่าคุณจะมีแนวทางในการต่อต้านการฟอกเงินระหว่างประเทศ และการจัดการเรื่องภาษีระหว่างประเทศ
กรณีศึกษา: ยุโรป : Still Complex but with Some Harmonized Regulations
ในปี 2014 ได้ใช้ Single Supervisory Mechanism (SSM) ที่เป็นการทำให้กฎระเบียบด้านการเงินของประเทศสมาชิกในยุโรป 27 ประเทศ มีความสอดคล้องกัน ซึ่งในแต่ละประเทศจะมี National Competent Authority (NCA) คอยควบคุมธนาคารและผู้ให้บริการด้านการเงินของประเทศ หากต้องการขยายไปยังประเทศอื่นๆในยุโรป ก็จะต้องทำงานร่วมกับ NCA ท้องถิ่น และกฎระเบียบของท้องถิ่นด้วย เช่น ที่ Prudential Regulation Authority (PRA) ของสหราชอาณาจักร มีหน้าที่ควบคุมธนาคารและผู้ให้บริการด้านการเงินกว่า 1,700 แห่ง และ Autorité de Contrôle Prudentiel et de Résolution (ACPR) ในฝรั่งเศส ที่มีพื้นฐานของกฎระเบียบและกฎหมายเหมือนกับเยอรมนี
กรณีศึกษา: เอเชีย: Still Complex
ในเอเชีย เราจะเน้นเฉพาะประเทศจีนและอินเดีย เนื่องจากประเทศอื่นๆในเอเชียจะมีความหลากหลายเป็นอย่างมาก ซึ่งระบบการเงินในประเทศจีนมีการควบคุมดูแลในระดับที่สูงมาก และเริ่มที่จะเปิดเสรี เนื่องจากนโยบายดานการเงินของจีนได้กลายมาเป็นกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจโดยรวมที่สำคัญมากขึ้น ทำให้ธนาคารและผู้ให้บริการด้านการเงินมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของจีน
Bank of China เป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในจีนและทำหน้าที่การคลัง ออกเงินตรา มอนิเตอร์การใช้เงิน ควบคุมดูแลองค์กรที่เกี่ยวกับเงินตรา และกำหนดนโยบายเกี่ยวกับเงินตรา โดย Bank of China จะบริหารจัดการการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และทุนต่างประเทศ
ในปี 2014 รัฐบาลจีนได้นำกฎระเบียบใหม่มาใช้ ซึ่งก็คือการเข้าควบคุมซอฟต์แวร์ 75% ที่ให้บริการในภาคการเงินของจีน ซึ่งจะต้องมีความมั่นคงปลอดภัยและสามารถควบคุมได้ นั่นหมายความว่าซัพพลายเออร์และผู้ให้บริการจะต้องใช้กระบวนการเข้ารหัสที่รัฐบาลจะต้องตรวจสอบก่อนจึงจะสามารถใช้งานได้ ซึ่งกฎนี้ถูกนำมาใช้กับสถาบันการเงินและผู้ให้บริการด้านการเงินของจีน
ในอินเดีย มีการกำกับดูแลและการควบคุมระบบการเงินที่ซับซ้อนและมีโครงสร้างแบบ multi-level ที่ดำเนินการโดยหน่วยงานกำกับดูแลที่แตกต่างกัน ในปี 2011 ประมาณ 35% ของประชากรอินเดียที่มีอายุมากกว่า 15 ปี มีบัญชีของสถาบันการเงินอย่างเป็นทางการ ภายหลังจากความล้มเหลวที่จะเชื่อมต่อครัวเรือนกับบัญชีธนาคารการกำหนด Unique Identities (UID) จึงเป็นหลักสำคัญของการลงทะเบียนซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือและ Mobile money ซึ่งโครงการนี้ทำให้ครัวเรือนในอินเดียสามารถเข้าถึงบัญชีธนาคารได้ร้อยละ 99.7 ความสำเร็จนี้ทำให้กรรมการของ Reserve Bank of India เริ่มที่จะนำมาใช้กับบริษัทในปี 2015 สำหรับการอนุญาตทำธุรกรรมธนาคารโดยเฉพาะ เช่น ใบอนุญาตสำหรับการชำระเงินเท่านั้น ที่จะต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดตามกฎข้อบังคับ
การบริการชำระเงินจะต้องมีการกำกับดูแล ซึ่งการบริการการชำระเงิน เป็นอีกหนึ่งบริการที่ต้องมีความเข้มงวด เพื่อป้องกันการฟอกเงิน ซึ่งบริการการชำระเงินทั้งในรูปแบบ P2P, P2B และ B2B จะมีการควบคุมดูแลอย่างเข้มงวดจากรัฐบาล โดย Financial Action Task Force on Money Laundering หรือ FATF ซึ่งเป็นองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศ มีสมาชิกกว่า 34 ประเทศทั่วโลก ตั้งอยู่ในที่ทำการองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organization for Economic Cooperation and Development – OECD) ประเทศเบลเยี่ยม โดย FATF ได้ออกกรอบในการดำเนินการเพื่อต่อต้านการฟอกเงิน และการจัดหาเงินทุนในการก่อการร้าย โดยมีกระบวนการตรวจสอบการโอนเงินและการชำระเงินระหว่างประเทศ
ในยุโรปมีการนำบริการที่เรียกว่า Directive on Payment Services (PSD) มาใช้ เพื่อกำหนดกรอบดำเนินงานด้านกฎหมายสำหรับการสร้างระบบควบคุมสำหรับการชำระเงิน ซึ่ง PSD ปัจจุบันถูกอัพเดทเป็น PSD2 มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดกฎที่ครอบคลุมและมีความทันสมัย สามารถใช้ได้กับบริการชำระเงินทั้งหมดในสหภาพยุโรป โดยมีเป้าหมายเพื่อให้การชำระเงินระหว่างประเทศทำได้ง่าย มีประสิทธิภาพ และปลอดภัย นอกจากนี้ PSD ยังคงพัฒนาการแข่งขันสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ โดยการสนับสนุนที่มีประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่าย ในเวลาเดียวกันยังมีการเตรียมการแพลตฟอร์มด้านกฎหมายที่จำเป็น สำหรับบริการการจ่ายเงินให้เป็นหนึ่งเดียวทั่วยูโรโซน หรือ Single European Payments Area (SEPA)
เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2015 ระบบธนาคารกลางในสหรัฐอเมริกา ได้กำหนดกลยุทธ์สำหรับพัฒนาระบบการชำระเงินในสหรัฐอเมริกา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการวางแผนในหลายๆแง่มุม เพื่อความร่วมมือกันในระบบชำระเงินของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหลาย อันได้แก่ ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดใหญ่ องค์กรเกี่ยวกับการชำระเงิน เครือข่ายของบัตร ผู้ดำเนินการด้านการชำระเงิน ผู้บริโภค และสถาบันการเงิน เพื่อยกระดับความรวดเร็ว ความปลอดภัย และประสิทธิภาพของระบบการชำระเงินในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ Multi-level regulation และ ISO 20022 จะช่วยในการพัฒนาประสิทธิภาพและความมั่นคงปลอดภัยของการชำระเงินในแระเทศและระหว่างประเทศ
การปฏิบัติตามกฎระเบียบท้องถิ่นและระดับโลก
FinTech แต่ละบริการ แต่ละระดับและแต่ละประเภทต่างก็มีกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องและแต่ละองค์กรจะต้องปรับกลยุทธ์ว่าจะใช้กฎระเบียบต่างๆ ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาและการขยายตัวของ FinTech เอง
แม้แต่ในบางประเทศที่มีกฎระเบียบแบบง่ายๆ ก็ต้องใช้ความระมัดระวังเช่นกัน เช่น จะเลือกที่ใดเป็นฐานในการตั้งสตาร์ทอัพนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องตัดสินใจ อาจจะมีทั้งกฎหมายระดับท้องถิ่น ระดับชาติและระดับโลกที่สามารถช่วยสนับสนุนหรือทำลายรูปแบบธุรกิจของคุณก็ได้ ตัวอย่างในระดับโลกของปัญหาที่เกิดขึ้นเช่น Uber ที่เข้าตลาดโดยไม่สนใจเรื่องกฎระเบียบเฉพาะ ทำให้เกิดความท้าทายในเรื่องกฎระเบียบในระดับท้องถิ่นในหลายประเทศและหลายเมืองทั่วโลกรวมทั้ง PayPal ที่ในตอนแรกได้มีการสำรวจเรื่องกฎระเบียบอย่างดีในแต่ละพื้นที่ และได้เปิดตัวในการให้บริการชำระเงิน ebay ที่เป็นพื้นฐานที่สุด และขยายบริการสู่รูปแบบอื่นๆ เช่น การชำระเงินแบบ P2P หลังจากรู้แล้วว่าจะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างไรในแต่ละประเทศแล้ว
สำหรับสตาร์ทอัพ FinTech อาจจะเป็นการดี ถ้าจะเป็นพันธมิตรกับธนาคารท้องถิ่นขนาดกลางที่ยืดหยุ่นและมีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ด้วย เช่น ในทุกประเทศ (จีนจะมีความซับซ้อนมากที่สุด) จะมีธนาคารขนาดใหญ่ที่เชี่ยวชาญในบริการ FinTech เช่น Barclays (สหราชอาณาจักร), biw-Bank & Fidor (เยอรมนี), mBank (โปแลนด์), Santander (สเปน), Toronto-Domion (แคนาดา), Westpac Banking Corp. (ออสเตรเลีย) เป็นต้น ในการปฏิบัติตามกฎระเบียบต่างๆ นั้น มีค่าธรรมเนียมที่ต้องใช้เกิดขึ้น ดังนั้นจึงควรมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจที่เป็น core business เท่านั้น
ไม่ว่าจะมีคำแนะนำที่ดีหรือมีหุ้นส่วนที่ดีก็ตาม ให้นึกไว้เสมอว่า Fintech จะไม่สามารถที่จะปัดความรับผิดชอบเรื่องกฎระเบียบได้ ถ้าการปฏิบัติตามกฎระเบียบได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและอยู่ใน DNA ขององค์กรแล้ว มันจะกลายเป็นปัจจัยสู่ความสำเร็จของบริษัทในที่สุด
พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ
กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
ประวัติ: http://www.เศรษฐพงค์.com/?p=165
7 กรกฎาคม 2560
www.เศรษฐพงค์.com