แน่นอน ความหวาดกลัวนั้นเกิดจากการที่เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร ดังนั้น การทำความเข้าใจเรื่อง Bitcoin หรือ cryptocurrency ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องของผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินอีกต่อไป แต่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคในส่วนเทคโนโลยีดิจิทัลที่ต้องเข้ามาอธิบายให้เข้าใจโลกใหม่ที่ทุกประเทศกำลังอพยพเข้าสู่ดินแดนแห่งใหม่ ที่พวกเขากำลังสร้างกฎระเบียบใหม่ทั้งหมด จนทำให้คนโลกเก่าในกฎระเบียบเก่าที่อยากจะอพยพตามไปด้วยมีความรู้สึกลังเล และหวาดกลัว
สำหรับคนไทยนั้น Bitcoin และ crytocurrency ถือว่าเป็นเรื่องใหม่มาก และถ้าหากจะลงลึกถึงแก่นของมันที่ใช้ Blockchain และอัลกอริทึมที่ซับซ้อน ก็ต้องมีความเข้าใจในคณิตศาสตร์ชั้นสูงและการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วยการใช้ทฤษฎี Information theory และ Coding theory จึงยิ่งไปกันใหญ่ที่จะเข้าใจได้โดยง่าย
ณ วันนี้ Bitcoin เป็น cryptocurrency เพียง 1 ใน 1,300 สกุล และสกุลของ cryptocurrency ใหม่ๆ กำลังถูกผลิตขึ้นทุกวัน วันละหลายสกุล ด้วยการลงทุนจากคนทั่วโลกนับล้านผ่านวิธีการ Initial Coin Offering (ICO) ซึ่งคล้ายๆ IPO ในตลาดหุ้น (แต่จริงๆ แล้วต่างวิธีกันอย่างมาก) และ ICO กำลังจะกลายเป็นกระแสหลักในการลงทุนในโลกใหม่ ที่เราคงหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไป
ตัวอย่าง ICO
https://appcoins.io/pdf/appcoins_white_paper.pdf
ปัจจุบันมูลค่าได้เพิ่มสูงขึ้นกว่า 17,000 – 20,000 เหรียญสหรัฐแล้ว ในขณะที่เมื่อย้อนกลับไปในปี 2011 มีมูลค่าไม่ถึงหนึ่งเหรียญสหรัฐด้วยซ้ำ โดย Bitcoin มีการซื้อขายโดยนักลงทุนอย่างบ้าคลั่ง จนทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ นักเศรษฐศาสตร์และนักการเงินชั้นนำบางคนมองว่า Bitcoin เป็นฟองสบู่ หรือเป็นการหลอกลวง แต่คนวงในที่เข้าใจระบบนิเวศของมัน ต่างกล่าวว่าพวกเขาคิดว่า Bitcoin แค่มีขนาดใหญ่ขึ้นเท่านั้นเนื่องจากได้รับการตอบรับอย่างแพร่หลายมากขึ้น ในการทำธุรกรรมจริงๆ
Bitcoin ถูกสร้างขึ้นในปี 2009 โดยบุคคลที่ใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto โดยผู้สนับสนุนแนวคิดนี้หลายรายเห็นว่าเป็นเพียงระบบการชำระเงินสำหรับทุกคนที่สามารถใช้ได้มากกว่าที่จะเป็นทรัพย์สินทางการเงินเท่านั้น แต่มันยังเป็นโครงสร้างพื้นฐานการทำธุรกรรมทางการค้าได้อีกด้วย ซึ่งอัลกอริทึมที่เขียนขึ้นซับซ้อนในระดับอาจารย์ จนผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์หลายท่านกล่าวว่า ถ้า Satoshi เขียนโปรแกรมขึ้นด้วยตัวคนเดียวจริงก็ถือว่าเขาเก่งระดับอัจฉริยะ
อ่านอัลกอริทึมของ Satoshi :
https://bitcoin.org/bitcoin.pdf
(อย่าตกใจถ้าท่านอ่านไม่เข้าใจ)
สกุลเงินดิจิทัลเช่น Bitcoin แตกต่างจากเงินดอลลาร์สหรัฐหรือเงินสกุลเยน เพราะไม่ได้ออกโดยธนาคารกลางเช่น Federal Reserve แต่เงินสกุลดิจิทัลสร้างอยู่ในคอมพิวเตอร์โดยใช้อัลกอริทึมที่ซับซ้อน
การชำระเงินใน Bitcoin สามารถทำได้โดยไม่ต้องมีตัวกลางแบบเดิมเช่น ธนาคาร และโดยไม่จำเป็นต้องระบุชื่อของคุณด้วย จึงมีส่วนทำให้เป็นที่นิยมของอาชญากรและคนที่อยากจะโยกย้ายเงินโดยไม่ต้องการเปิดเผยชื่อ และยังเป็นที่ยอมรับของธุรกิจต่างๆ ทั่วโลกโดยเฉพาะการชำระเงินที่ใช้ได้ทุกวันเช่น ในร้านขายของชำ, ซื้อตั๋วรถไฟหรือในร้านตัดผม เป็นต้น โดยขณะนี้เริ่มแพร่หลายใน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ถึงขั้นมีตู้ ATM เพื่อกดเงินออกมาเป็นสกุลเงินหลักได้ เช่น ดอลล่าร์สหรัฐและเยน เป็นต้น
การแลกเปลี่ยนบน marketplaces ทำให้คนสามารถซื้อหรือขาย Bitcoin โดยใช้สกุลเงินต่างๆ ได้ โดยสามารถส่ง Bitcoin ให้กันและกันได้ โดยผ่านแอพพลิเคชั่นบนอุปกรณ์เคลื่อนที่หรือคอมพิวเตอร์ ซึ่งก็คล้ายกับการโอนเงินสดแบบดิจิทัล (จึงเกิดการเก็งกำไร)
Bitcoin จะถูกเก็บไว้ใน “กระเป๋าเงินดิจิทัล” ซึ่งเป็นบัญชีธนาคารแบบเสมือนจริงที่อนุญาตให้ผู้ใช้ส่งหรือรับ Bitcoin หรือจ่ายค่าสินค้าหรือเก็บออมเงินได้ ซึ่งบริษัทออนไลน์ที่ให้บริการกระเป๋าเงินดิจิทัลมากมายทั่วโลกได้เกิดขึ้นในรูปแบบ startup ในช่วงปีที่ผ่านมา
Bitcoin และสกุลอื่นๆ เช่น Ethereum, Ripple และ Bitcoin Cash ราคาได้พุ่งสูงขึ้นมากในปีนี้เนื่องจากนักลงทุนหลัก (รวมทั้งนักเก็งกำไร) ได้ให้ความสนใจมากขึ้น จึงทำให้รัฐบาลของประเทศต่างๆ พยายามที่จะเฝ้าติดตาม และคิดหาทางว่าจะควบคุม Bitcoin ในรูปแบบอย่างไร และรวมถึงเงินดิจิทัลอื่นๆ ด้วย ประเทศจีนและเวเนซุเอลาได้ประกาศอย่างชัดเจนที่จะสร้างสกุลเงินดิจิทัลของตัวเอง หลังจากประชาชนให้ความสนใจใช้เงิน crytocurrency อย่างแพร่หลาย
รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้การรับรองและเริ่มมีการออกใบอนุญาตการแลกเปลี่ยน Bitcoin เมื่อต้นปีนี้ แต่สำหรับจีนนั้นมีการควบคุมการใช้เงิน cryptocurrency อย่างไรก็ตามการประกาศจากสถาบันการเงินรายใหญ่บางแห่งในสหรัฐฯช่วยให้ Bitcoin ได้รับการยอมรับมากขึ้นเป็นลำดับ เช่น นักลงทุนจะสามารถเริ่มซื้อขาย Bitcoin futures ผ่านทาง Chicago Board Options Exchange และ Chicago Mercantile Exchange ได้แล้ว
Nasdaq ของ New York ได้วางแผนที่จะเปิดตัว Bitcoin futures ของตัวเองภายในปี 2018 และ CME, CBOE ต่างก็ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ Bitcoin ซึ่งมีส่วนช่วยทำให้เงินดิจิทัลชอบด้วยกฎหมาย
ในช่วงปี 2017 ส่วนใหญ่แล้วเป็นกลุ่มนักลงทุนรายย่อยที่เป็นคนซื้อ Bitcoin โดยผู้เชี่ยวชาญหลายคนกล่าวว่า ส่วนใหญ่แล้วอยู่ในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ซึ่งเป็นประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบที่ทำให้การซื้อขาย Bitcoin ทำได้ง่ายขึ้น แต่กำไรส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มนักลงทุนจำนวนไม่มาก
นักลงทุนสถาบันขนาดใหญ่ เช่น กองทุนป้องกันความเสี่ยงและผู้จัดการสินทรัพย์ส่วนใหญ่ยังคงนิ่งเฉย แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนคาดการณ์ว่าพวกเขาจะเข้าสู่ตลาดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ถึงแม้ว่าจะมีความแคลงใจสงสัยจาก Warren Buffett และ Jamie Dimon ที่เป็น CEO ของ JPMorgan Chase ก็ตาม
Thomas Glucksmann หัวหน้าฝ่ายการตลาดของ Gatecoin บริษัทแลกเปลี่ยน Bitcoin ในฮ่องกงกล่าวว่า crytocurrency ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเปรียบเหมือนน้ำเพียงหยดเดียวในมหาสมุทรเมื่อเปรียบเทียบกับธุรกรรมนับล้านล้านครั้งที่เกิดขึ้นรายวันในตลาดเงินและตลาดทุน
การขยับตัวในการนำเอา Blockchain มาใช้เป็นแพลตฟอร์มของธนาคารกำลังเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมการเงินการธนาคารทั่วโลก เช่น Bank of America รับผู้เชี่ยวชาญด้าน Blockchain เข้าทำงานเพื่อพัฒนาระบบธนาคารที่ทำงานแบบอัตโนมัติทั้งระบบ เป็นต้น
“รีบทำความเข้าใจกับมัน เพื่ออพยพสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างถูกทิศทาง”
http://money.cnn.com/2017/12/07/investing/bitcoin-what-is-going-on/index.html
พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ
กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
ประวัติ: http://www.xn--42cf0a8cxa3ai5ple.com/?p=165
22 ธันวาคม 2560
www.เศรษฐพงค์.com