ในอดีตการพัฒนาการศึกษาในชนบทเพื่อให้มีคุณภาพและมาตรฐานเทียบเท่ากับการศึกษาในเมืองนั้นเป็นไปได้ยากยิ่ง เนื่องจากมีข้อจำกัดทางด้านภูมิศาสตร์และเทคโนโลยี แต่ในปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นไปอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม ที่ทำให้การพัฒนาการศึกษาในชนบทสามารถบรรลุผลได้
หนึ่งในวิธีการพัฒนาการศึกษาในชนบท คือ การใช้สื่อ Virtual Learning ซึ่งเป็นการทำให้ครูผู้สอน สามารถสอนนักเรียนจากที่ใดก็ได้ในโลก ในขณะเดียวกันนักเรียนก็สามารถเรียนหนังสือจากที่ใดในโลกก็ได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น Rural Virtual Academy (RVA) ในมลรัฐวิสคอนซิน ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เป็นโรงเรียนเสมือนจริงของระบบโรงเรียนภาครัฐ ทำให้นักเรียนสามารถเข้าชั้นเรียนและทำการศึกษาได้จากที่บ้าน เนื่องจากอาจมีเหตุผลส่วนบุคคลหรือข้อจำกัดของนักเรียนที่ไม่สามารถเข้ามาเรียนในเมืองได้ ซึ่งดำเนินการโดยครูผู้สอนที่มีใบอนุญาต และมีจำนวนนักเรียนต่อครูผู้สอนเท่ากับในชั้นเรียนปกติ โดยการมีส่วนร่วมของระบบการศึกษาดังกล่าวจะประกอบไปด้วย โรงเรียน นักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน โดย RVA คือ โรงเรียนที่ไม่ใช่เพียงแค่การเรียนผ่านระบบออนไลน์อย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นการเชื่อมโยงระหว่างนักเรียน โรงเรียน และครูผู้สอน โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในที่เดียวกันก็ได้
การออกแบบหลักสูตรในลักษณะนี้ จะต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและชุมชนด้วย เช่น เมื่อจะต้องมีกิจกรรมทัศนศึกษาที่พานักเรียนชั้นประถมศึกษาของ RVA ไปทัศนศึกษายังสถานที่ตามที่ทางโรงเรียนกำหนดไว้ จะต้องอาศัยผู้ปกครองเป็นผู้ดูแลพากลุ่มนักเรียนในชุมชนไปยังสถานที่ดังกล่าว ดังนั้นการเรียนในหลักสูตร RVA นั้น ผู้ปกครองและชุมชนจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมกับโรงเรียนมากกว่าในโรงเรียนปกติ
ในปัจจุบัน ผู้ดูแลและผู้กำหนดนโยบายทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น ได้ให้การสนับสนุนการเรียนการสอนประเภท Virtual Learning หรือ Virtual School เพิ่มมากขึ้น โดยขณะนี้มีแนวโน้มว่าหลักสูตรประเภทนี้ดูจะน่าสนใจกว่าหลักสูตรการศึกษาในภาคปกติด้วยซ้ำไป ทั้งนี้เพราะนอกจากเด็กจะได้รับการศึกษาและการดูแลจากโรงเรียนแล้ว พ่อแม่ ผู้ปกครอง และชุมชน ยังมีส่วนร่วมในการดูแลนักเรียนอีกด้วย โดยในด้านวิชาการเด็กกลุ่มนี้จะได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพทัดเทียมกับการเรียนในห้องเรียนปกติ โรงเรียนในชนบทหลายโรงเรียนอาจจะขาดแคลนครูผู้สอนในสาขาวิชาด้านวิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ อีกทั้งยังขาดแนวทางการบูรณาการความรู้ระหว่างศาสตร์วิชาต่างๆ ที่กล่าวมา ซึ่งการนำ Virtual Learning มาใช้งานจะช่วยให้สามารถแก้ปัญหานี้ได้ ตัวอย่างเช่น โรงเรียนในเขต Itacha ซึ่งเป็นพื้นห่างไกลของมลรัฐนิวยอร์ค ในสหรัฐอเมริกา ที่ได้นำ Virtual Learning มาแก้ปัญหาในชั้นเรียนภาษาสเปน และเคมี นอกจากนี้ในการแก้ปัญหาเรื่องการพัฒนาทักษะในห้องปฏิบัติการด้วยเครื่องมือต่างๆ ได้มีการริเริ่มโครงการให้เกิดขึ้นโดยอาจารย์สองคนจากมหาวิทยาลัย Vanderbilt ภายใต้ชื่อ Aspiranaut ที่ได้สร้างการพัฒนาทักษะการทำงานในห้องทดลองวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในพื้นที่ชนบทห่างไกล จากการสอนของศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยโดยตรง ด้วยระบบ Video conference
นอกจากการพัฒนานักเรียนในพื้นที่ชนบทห่างไกลแล้ว การพัฒนาศักยภาพครู ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งด้วยเช่นกัน หลายครั้งครูผู้สอนปฏิเสธการไปสอนในพื้นที่ชนบทห่างไกล เพราะเกรงว่าจะทำให้ตนเองสูญเสียโอกาสการพัฒนาตนเอง แต่ในประเทศสเปนได้มีการจัดตั้ง Virtual community of practice (VCoP) ขึ้นมา เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างครูผู้สอนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และแชร์ประสบการณ์การสอนระหว่างกัน โดยในอดีตที่ผ่านมาครูในโรงเรียนชนบทห่างไกลจะรู้สึกโดดเดี่ยว ด้วยข้อจำกัดเรื่องการเดินทางและสภาพพื้นที่ แต่เมื่อสามารถเชื่อมโยงครูกลุ่มนี้เข้าด้วยกัน จึงทำให้เกิดการพัฒนาศักยภาพขึ้น นอกจากนี้ยังได้มีการนำเอา Virtual Learning มาใช้เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ๆ ให้กับครูผู้สอนอีกทางหนึ่ง เช่น การฝึกอบรมครูผู้สอนในเขตพื้นที่ห่างไกล เป็นต้น ทำให้สามารถลดความเหลื่อมล้ำระหว่างครูผู้สอนในชนบทกับครูผู้สอนในเมืองได้อย่างมาก
นโยบายการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่ชนบทที่ห่างไกลไม่ใช่เพียงแค่การ “มีเทคโนโลยี” เพียงเท่านั้น แต่เป็นนโยบายการ “ใช้เทคโนโลยี” อย่างเหมาะสม เพื่อให้นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลได้รับการเรียนการสอนด้วยคุณภาพและมีมาตรฐานเดียวกับนักเรียนในเมือง โดยจะต้องมีมุมมองที่ครอบคลุมถึงหลักสูตรและวิธีการเรียนการสอนในบริบทใหม่ การใช้เทคโนโลยีสำหรับการกระจายการศึกษาไปสู่ชนบทห่างไกล การสร้างการเชื่อมโยงระหว่างครูผู้สอน และอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหากเราสามารถพัฒนาภาคการศึกษาให้ประชาชนในพื้นที่ชนบทห่างไกล สามารถเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพได้ ก็จะเป็นต้นน้ำที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย และยังประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติในทุกๆมิติได้อย่างดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม การที่ประเทศไทยของเราจะสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Virtual Learning เข้ากับระบบการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพได้นั้น เรามีความจำเป็นที่จะต้องได้รับความร่วมมือในแนวทาง”ประชารัฐ” ที่รัฐบาลได้วางรูปแบบที่เหมาะสมไว้แล้ว และที่สำคัญยิ่งคือโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเข้าถึงทุกหมูบ้าน ที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ จะต้องประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมเสียก่อน ความหวังที่ประเทศไทยจะบรรลุถึงเป้าหมาย “ประเทศอันชาญฉลาด Thailand 4.0” ซึ่งไร้ความเหลื่อมล้ำของสังคม ก็จะกลายเป็นความจริงอย่างแน่นอน!!!
3 ตุลาคม 2559 20:30
พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ
รองประธาน กสทช.