Knowledge Workers แรงงานในยุค Knowledge Economy ผู้สร้างนวัตกรรมของชาติในยุค Thailand 4.0
บทความโดย พ.อ. ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ
ประธาน กทค. และรองประธาน กสทช.
เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา ผมได้เห็นประกาศ คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 62/59 ตั้งสภานโยบายวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ จึงทำให้ผมเกิดประกายความหวังเล็กๆขึ้นมา ที่จะได้เห็นประเทศไทยของเราจะสามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาประเทศให้สามารถก้าวกระโดดและผลักดันให้ยุทธศาสตร์ Thailand 4.0 บรรลุได้ตามเป้าหมายได้
ประกาศฉบับนี้ทำให้ผมระลึกถึงบทความเก่าๆที่ผมเคยเขียนไว้ในสมัยที่ผมยังรับราชการทหารอยู่ (เขียนไว้เมื่อ 2 ก.ค. 2553) ก่อนมารับหน้าที่เป็นรองประธาน กสทช. จึงขอกลับมานำเสนออีกครั้ง ซึ่งดูแล้วยังเป็นบทความที่ทันสมัยอยู่เสมอ (ขอชมตัวเองนิดครับ)…เอาละ ลองมาอ่านกันเลยครับ…
ในการบรรยายของผมในวันแรกของวิชา Management Information Systems ของหลักสูตร MBA…. ผมมักจะกล่าวว่า…“Environments change faster than organizations.”…. เป็นคำพูดที่ดูเหมือนจะเป็นสัจธรรมในโลกปัจจุบันซึ่งเป็นเศรษฐกิจแห่งองค์ ความรู้… การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแบบมีอัตราเร่งของสิ่งแวดล้อม การปฏิวัติทางข้อมูลข่าวสารประกอบกับความรวดเร็วของคอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ท ทำให้ความรู้ต่างๆ ทุกแขนงเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในทุกสองหรือสามปี…..จึงทำให้องค์กรต้องมี ความสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว เพื่อลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว… ในอนาคตต่อไปประมาณ 5 – 10 ปี โลกยิ่งมีการเปลี่ยนแปลงด้วยอัตราเร่งที่สูงขึ้นเป็นเท่าตัว… จากหนังสือ IT’S ALIVE ของ Christopher Meyer กล่าวไว้ว่า “Every enterprise either adapts to its environment, or dies” นั่นคือ…. ท่านจะยอมปรับเปลี่ยนตัวเองหรือท่านจะยอมตายจากไปกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสิ่งแวดล้อมที่กำลังเกิดขึ้น
ความรู้และเทคโนโลยีจะเป็นปัจจัยที่เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้ามากกว่าวัตถุดิบ ที่เป็นส่วนประกอบของสินค้า ดังนั้นแรงสมองจึงเป็นปัจจัยสำคัญของการแข่งขันมากกว่าแรงงาน และเทคโนโลยี จึงเป็นปัจจัยสำคัญของการแข่งขันมากกว่าทรัพยากรธรรมชาติ…..จึงทำให้ช่วง เวลาสองถึงสามปีที่ผ่านมาท่านผู้อ่านจะเห็นว่ามีการผลิตหนังสือด้านการบริหาร การจัดการที่พูดถึง Knowledge Workers กันมากเหลือเกิน….Knowledge Workers หรือท่านอาจจะพบในหนังสือบางเล่มที่ใช้ในภาษาไทยว่า “แรงงานเปรื่องปัญญา” นั่นเอง
เศรษฐกิจแห่งองค์ความรู้หรือ Knowledge Economy ต้องพึ่งพา Knowledge Workers เป็นอย่างมาก ซึ่งหมายถึง ผู้ที่มีความรู้ด้านทฤษฎี มีความรู้เฉพาะทางและมีประสบการณ์ เช่น แพทย์ ทนายความ อาจารย์ นักการเงินการบัญชีและวิศวกร เป็นต้น…แต่กลุ่มที่มีความต้องการสูงในขณะนี้คือ Knowledge Workers ที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ คอมพิวเตอร์และโทรคมนาคมและอาจรวมถึงนักวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ซึ่งเราอาจเรียกเป็นภาษาไทยว่า “นักเทคโนโลยีเปรื่องปัญญา” ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับค่าจ้างสูงกว่าแรงงานแบบมีทักษะดังเดิม…… ในช่วงศตวรรษที่ 20 แรงงานที่ไร้ทักษะในโรงงานอุตสาหกรรมเคยเป็นพลังอันสำคัญยิ่งใหญ่ทาง เศรษฐกิจ สังคมและการเมือง…..แต่ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นช่วงเวลานับจากนี้….นักเทคโนโลยีเปรื่องปัญญาจะกลายเป็นพลังสำคัญ ทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง
ความรู้เป็นสิ่งที่ล้าสมัยได้อย่างรวดเร็วมาก….. มีการคาดไว้ว่าใน 5 ปีข้างหน้า ความรู้จะเพิ่มพูนขึ้น 100% ในทุกๆ 6 เดือน…..นั่นคือมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ Knowledge Workers จะต้องขวนขวายหาความรู้ใหม่ๆตลอดเวลา….จึงส่งผลให้รูปแบบใหม่ของการศึกษา ต่อเนื่องจะเน้นการเพิ่มพูนความรู้ในวิชาชีพเฉพาะในด้านต่างๆให้กับ Knowledge Workers…… การศึกษาต่อเนื่องจะเป็นธุรกิจที่เติบโตมาเป็นอันดับหนึ่งภายใน เวลาอีก 20 ถึง 30 ปีข้างหน้า….แต่ในเวลาอีก 5 ปีต่อจากนี้ไป เราจะเริ่มเห็นมีการสอนหลักสูตรสำหรับ Knowledge Workers และนักบริหารระดับสูงผ่านทางอินเทอร์เน็ตอย่างเต็มรูปแบบเพราะพวกเขาเหล่า นี้ไม่มีเวลาที่จะเข้าศึกษาในระบบแบบมีห้องเรียนปกติอีกต่อไปแล้ว…. การศึกษาในยุคเศรษฐกิจแห่งองค์ความรู้ จะมีราคาแพงขึ้นไปเรื่อยๆ ในขณะที่ราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคมีราคาลดลง…การปฏิวัติสารสนเทศจะส่งผล ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่กับระบบและรูปแบบการศึกษาในมหาวิทยาลัย จะยิ่งส่งผลกระทบมากกว่าต่อการศึกษาต่อเนื่องของ Knowledge Workers….แบบที่เรียกว่า Anywhere Anytime
การศึกษาของ MIT ในปี 1989ได้พบว่าความล้มเหลวของบริษัทในสหรัฐฯ เกิดจากการที่ผู้บริหารระดับสูงมองเทคโนโลยีในฐานะที่เป็นทรัพยากรการดำเนิน งานมากกว่าที่จะเป็นปัจจัยที่ช่วยในการกำหนดรูปแบบกลยุทธ์ของธุรกิจ การที่บริษัทไม่สนใจในการทำ R&D ด้านข้อมูลข่าวสารและไม่สนใจในการจัดการข้อมูลขององค์กรเพื่อนำมาช่วยในการ ปรับกลยุทธ์ขององค์กร ก็จะทำให้ความได้เปรียบทางการแข่งขันขององค์กรลดต่ำลง….จึงทำให้เกิดแนว โน้มที่น่าสนใจเกี่ยวกับการศึกษาก็คือภาควิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและภาค วิชาการจัดการการดำเนินงาน (Operation Management) ในคณะบริหารธุรกิจ จะรวมเป็นภาควิชาเดียวกัน (อาจจะเรียกว่าภาควิชา IT and OM)…. แนวโน้มนี้เกิดขึ้นเนื่องจากผู้บริหารส่วนใหญ่ยังคงเชื่อกันอย่างผิดๆ ว่า สารสนเทศเป็นงานของหัวหน้าฝ่ายศูนย์ข้อมูลสารสนเทศซึ่งแท้จริงนั้นพวกเขา เป็นเพียงผู้สร้างเครื่องมือเท่านั้น….. ผู้บริหารต่างหากที่จะเป็นผู้ใช้เครื่องมือเหล่านั้น…ในอนาคตข้างหน้าผู้ บริหารระบบสารสนเทศและผู้บริหารระบบการเงินการบัญชีอาจเป็นคนๆเดียว กัน…องค์ความรู้ที่อาศัยความชำนาญพิเศษด้านเทคโนโลยีดังกล่าวจึงกลายเป็น ทรัพยากรอันทรงคุณค่ามากขึ้นและอาจมีผลให้ Knowledge Workers ด้านเทคโนโลยีจะเป็นกลุ่มคนที่องค์ต้องการอย่างยิ่ง….
Knowledge Workers ต้องเคลื่อนย้ายเพื่อทำงานในหลายๆ Project ตลอดเวลาเพราะระบบสื่อสารเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นมากทำให้การติดต่อ สื่อสารง่ายขึ้น อัตราการเปลี่ยนงานก็จะสูงขึ้น…. อาจเป็นการย้ายไปทำงานในบริษัทแห่งใหม่ หรือข้ามไปทำงนในประเทศอื่น….ดังนั้นคนที่เก่งที่สุด และทะเยอทะยานที่สุดจึงต้องจากไปจากองค์กร….ไปในที่ๆให้คุณภาพชีวิตที่ดี กว่าแก่พวกเขา….
ความรู้และเทคโนโลยีจะทำให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดดังนั้น…หน้าที่ของรัฐบาล ที่สำคัญที่สุดในขณะนี้คือดึงดูดคนเก่งเอาไว้… ถ้ารัฐบาลไม่ให้ความสนใจที่จะดึงคนเก่งเหล่านี้เอาไว้… อีกทั้งไม่ให้การศึกษาที่ดีพอต่อประชากรของตน…เศรษฐกิจก็จะย่อยยับแบบก้าวกระโดดเช่นกัน…. THAILAND จงเจริญ
www.เศรษฐพงค์.com