iPhone SE (iPhone Special Edition) คือ iPhone รุ่นล่าสุดที่เปิดตัวในช่วงไตรมาสแรกของปี 2016 เมื่อเดือนมีนาคม 2016 ที่ผ่านมา โดยเป็นการกลับมาอีกครั้งของสมาร์ทโฟนจอเล็ก 4 นิ้ว แต่สเปคแรงขึ้นเยอะ ในราคาเปิดตัวที่คิดเป็นเงินไทยแล้วเริ่มต้นประมาณ ไม่เกิน 20,000 บาท แม้จะเป็นรุ่น 64GB ก็ 20,000 นิดๆ เรียกได้ว่า iPhone SE เป็น iPhone สเปคแรงในราคาถูกที่สุดในบรรดาการเปิดตัว iPhone ทั้งหมด มาดูรีวิวสเปคกันว่าน่าซื้อไหม หรือรอดูรุ่นต่อไปดี?
iPhone SE พรีวิว – ไอโฟนสเปคแรงแต่ราคาถูกที่สุดในประวัติศาสตร์ | iT24Hrs
จากสถิติที่ผ่านมา พบว่าไอโฟนรุ่น iPhone 5s ที่ขายมาตั้งแต่ปี 2013 ก็ยังคงเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมอยู่ โดยยอดจำหน่ายรวมของ iPhone 5s และ iPhone 5c นั้นเกิน 30 ล้านเครื่องในปี 2015 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่ มากกว่าครึ่งของลูกค้าที่ซื้อ iphone จอ 4นิ้ว คือผู้ที่ไม่เคยใช้ iPhone มาก่อน
Apple เลยตัดสินใจเปิดตัว iPhone SE ที่มีการพัฒนาต่อเนื่องจาก iPhone 5s มาลุยตลาดสมาร์ทโฟนไตรมาสแรกของปีนี้ ด้วยราคาที่ถูกกว่าเดิมมาก หวังชิงตลาดจากผู้ใช้โทรศัพท์ระบบอื่นๆ อย่าง android รวมถึงมาเป็นทางเลือกให้ผู้ใช้ iPhone รุ่นเก่าๆนานแล้ว ที่ไม่ต้องการจะซื้อ iPhone 6s , 6s Plus ที่มีขนาดใหญ่และราคาค่อนข้างแพง สามารถเป็นเจ้าของ iPhone รุ่นใหม่ได้ง่ายขึ้น
เชิญรับชมรายละเอียด สเปค และการเปรียบเทียบระหว่าง iPhone SE vs iPhone 6s ได้ในวิดีโอ และ อย่าลืมกด Subscribe เป็นกำลังใจให้กันนะคะ ขอบคุณค่ะ
ราคา iPhone SE
iPhone Special Edition ยังไม่เข้าไทยอย่างเป็นทางการ ราคาในประเทศใกล้เคียงอย่างที่ฮ่องกง รุ่น 16GB ราคาอยู่ที่ 3,488 HKD (ประมาณ 15,900 บาท) ส่วนรุ่น 64GB ราคาอยู่ที่ 4,288 HKD (ประมาณ 19,500 บาท)
**อัพเดตล่าสุด ณ 20 เมษายน 2559 เว็บไซต์ Apple Online Store ประเทศไทย ประกาศราคาจำหน่าย iPhone SE ทางออนไลน์ดังนี้
- iPhone SE 16 GB = 16,800 บาท
- iPhone SE 64 GB = 20,800 บาท
*** อัพเดตล่าสุด ณ 26 เมษายน 2559 iPhone SE เริ่มจำหน่ายในไทย 11 พฤษภาคม 2559 นี้
iPhone SE เมื่อเปรียบเทียบกับ iPhone 6s
iPhone SE vs iPhone 6s
Design
iPhone SE ดีไซน์และขนาดตัวเครื่องเหมือนกับ iPhone 5s ทำจากอลูมิเนียม มี 4 สีให้เลือก และใช้เคสร่วมกับ iPhone 5s ได้
Display
• หน้าจอขนาด 4″ vs 4.7″
หน้าจอ iPhone SE มีขนาด 4 นิ้ว แสดงผล Retina Display โดย iPhone SE และ 6s มีความละเอียดหน้าจอเท่ากันที่ 326 ppi หรือ 326 pixel ต่อตารางนิ้ว ซึ่งสตีฟเคยบอกว่าเป็นความละเอียดสูงสุดที่ตามนุษย์จะแยกออกได้ คือมองไม่เห็น pixel แล้ว… จึงเรียกว่า retina display โดยการออกแบบจอเล็ก 4 นิ้วก็มีข้อดีมากๆอย่างหนึ่ง ที่เป็น เหตุผลหลักแต่เดิมของ apple คือเพื่อให้สามารถควบคุมทุกอย่างได้ในมือเดียว นิ้วโป้งต้องกวาดได้หมด ยิ่งถ้ามือเล็ก จอเล็กจะดีกว่า แต่เมื่อตลาดปัจจุบันต้องการใช้โทรศัพท์ทำทุกอย่างแทบจะแทนที่คอมพิวเตอร์ รวมถึงตลาดผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น จอใหญ่จึงกลายเป็นกระแสหลักไป แม้ต้องแลกกับการพกพาที่ยากขึ้น น้ำหนักมากขึ้น การใช้แบตก็มากขึ้นด้วย แต่สำหรับคนที่เคยใช้โทรศัพท์หน้าจอใหญ่จนเคยชิน การกลับไปใช้หน้าจอเล็กๆคงเป็นเรื่องทำใจได้ยากทีเดียว
• Contrast Ratio 800:1 vs 1400:1
contrast ratio คือการเปรียบความต่างของสีขาวและสีดำที่แสดงบนหน้าจอ
โดยค่า Contrast ratio ของ iPhone SE เท่ากันกับ iPhone 5S ที่ 800:1 (สีขาวจะสว่างกว่าสีดำ 800 เท่า) แต่ต่ำกว่า iPhone 6 ,6s ที่ 1400:1 และ iPhone 6 PLUS , 6s Plus ที่ 1300:1
โดยจอที่ค่า contrast ratio สูงกว่า สีดำก็จะดูดำสนิทกว่า ทำให้ให้ภาพดูมีรายละเอียดและมิติที่สมจริงกว่า แต่ที่ contrast ratio สูงขนาดนี้ ในสภาพที่มีแสงภายนอกรบกวน การแยกความแตกต่างด้วยสายตาก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเห็นได้ชัดเจนนัก
ซีพียู A9
iPhone SE รันด้วยชิพ A9 (64-bit) มาพร้อมโปรเซสเซอร์ร่วม M9 สำหรับประมวลผลการเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นตัวเดียวกันกับที่ใช้บน iPhone 6S และ iPhone 6S Plus
โดยความเร็วการประมวลผลนั้น iPhone SE จะประมวลผลได้เท่ากับ iPhone 6s และ iPhone 6S Plus แต่ประมวลผลเร็วกว่า iPhone 5s ถึง 2 เท่า และมี GPU ที่เร็วกว่า iPhone 5s ถึง 3 เท่า ทำให้คุณสามารถเล่นเกมกราฟฟิคสูงๆได้สบาย ไม่กระตุกหรือหน่วงเลย เป็นตัวเลือกที่คอเกมบนมือถือน่าสนใจ
กล้อง 12 ล้านพิกเซล
กล้องหลัง 12 ล้านพิกเซล F2.2 รองรับการถ่ายวิดีโอ 4K และ Live Photo ซึ่งเทียบเท่า iPhone 6s แต่กล้องหน้า 1.2 ล้านพิกเซล F2.4 เท่ากับ iPhone 6 ซึ่งถ้าใช้ถ่าย selfie ลง IG, facebook ก็ถือว่าไม่เล็กเลย เพราะจะได้ภาพที่ขนาด 960 x 1280 pixel ซึ่งจะภาพจะยังแสดงได้อย่างชัดเจนบนจอมือถือและคอมพิวเตอร์โดยทั่วไป และหากนำไป print ก็จะได้ภาพขนาดถึง 5 x 7” โดยยังมีคุณภาพที่ดีอยู่
ความจุ
ความจุหน่วยความจำของ iPhone SE มีแค่ 2 ตัวเลือก คือ 16 และ 64 GB ซึ่งก็ถือว่าเพียงพอกับการใช้งาน โดยเฉพาะรุ่น 64GB ซึ่งเป็นขนาดยอดนิยมของผู้ใช้ iPhone เพราะก็ใช้ได้เพียงพอ โดยได้ในราคาไม่เกิน 2หมื่นบาท ก็ถือว่าให้ความจุเยอะมากเมื่อเทียบกับ Android ในราคาเดียวกันหรือแพงกว่าเล็กน้อยแต่ให้ความจุแค่ 32 GB เท่านั้น
ส่วนอื่นๆที่มีเพิ่มเติม
- มีระบบสแกนลายนิ้วมือ Touch ID
- มี NFC สำหรับรองรับการจ่ายเงินด้วย Apple Pay
สิ่งที่มีบน iPhone 6s แต่ไม่มีใน iPhoneSE
• 3D Touch
คือคุณสมบัติที่มีบน iPhone 6s ซึ่งหน้าจอจะรับรู้แรงกด ทำให้ใช้เป็น input ได้ เอานิ้วกดแรงขึ้น เพื่อแสดงเมนูการใช้งานพิเศษออกมา เหมือนกับเวลาที่เราคลิกเม้าส์ปุ่มขวาบนพีซี หรือจะทำให้คีย์บอร์ดบน iphone กลายเป็น Trackpad เหมือนบน Macbook ได้ แค่กดนิ้วแรงขึ้นบนคีย์บอร์ด มันก็จะกลายเป็น Trackpad ให้คุณลากนิ้วไปมาเหมือนใช้ Notebook ได้เลย หรือใช้ดูภาพหรือเนื้อหาในอีเมลอย่างเร่งด่วน ถ้าต้องการจะเปิดจริงๆค่อยกดแรงขึ้นแล้ว e-mail นั้นก็ค่อยเปิดขึ้นมาให้จริงๆ
3D Touch อาจต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และลองถึงจะถนัด แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้ยังใช้ได้เฉพาะ iPhone 6S และ iPhone 6S Plus เท่านั้น
ส่วน iPhone SE ไม่มี 3D Touch เหมือนกับ iPhone รุ่นก่อนๆซึ่งไม่มี 3D Touch เหมือนกัน
• Barometer
Barometer หรือ sensor ใช้วัดความกดอากาศ ซึ่งมีใน iPhone 6 , 6 Plus , 6s , 6s plus ส่วน iPhone SE ไม่มี Barometer
โดยรวมแล้ว iPhone SE จัดว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่ไม่มีนวัตกรรมอะไรใหม่เลยแม้แต่น้อย แต่ก็น่าสนใจมาก ด้วยการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ ที่ต้องการใช้ iPhone ในราคาที่คุ้มค่าเหมาะสมมากขึ้น และเป็นการอัพเกรดจาก iPhone 5S แต่ได้สเปคแรงเทียบเท่า iPhone 6S และ iPhone 6S Plus ราคาอยู่ในกลุ่มเริ่มต้นไม่เกิน 2 หมื่นบาท โดยราคาจำหน่ายในไทยนั้นก็ได้ประกาศออกมาแล้วเมื่อ 20 เมษายน 2559 คือ รุ่น 16 GB 16,800 บาท และรุ่น 18 GB 20,800 บาท ข้อมูลนี้จากเว็บไซต์ Apple Online Store Thailand แต่วันจำหน่ายนั้นยังต้องรอประกาศจากทาง Apple ต่อไป