Internet of Things (IoT) ตัวเร่ง Disruption
บทความโดย : พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ
รองประธาน กสทช. และประธานกรรมการกิจการโทรคมนาคม
คุณลองจินตนาการดูว่า ถ้าหากอุปกรณ์หรือสิ่งของต่างๆ สามารถส่งข้อมูลถึงกัน ติดต่อกัน สามารถถูกควบคุมสั่งการได้ จะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตประจำวันของเรา และจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมต่างๆอย่างไร
คิดง่ายๆ หากกล้องเล็กๆ คุณภาพสูงติดอยู่ในรถทุกคัน แว่นตาทุกอัน หมวกกันน๊อคทุกใบ ปากกา เข็มกลัด แถมทั้งอุปกรณ์ sensor บอกตำแหน่ง ตรวจจับอุณหภูมิ ติดกับสิ่งของต่างๆ มากมายรอบตัวเรา และสิ่งของทุกชิ้นดังกล่าวสามารถส่งทั้งข้อมูลและภาพเคลื่อนไหว อีกทั้งพวกเราทุกคนสามารถเข้าถึงอุปกรณ์เหล่านี้ได้ด้วย smartphone ของเราหากเจ้าของ set มันไว้ใน Public access mode สิ่งของเหล่านี้ก็จะสามารถทำตัวมันเป็นเครือข่ายสื่อสารขนาดใหญ่เชื่อมโยงกันได้ทั้งประเทศ ไปจนถึงทั้งโลก ก็จะทำให้เราสามารถคิดสร้างสรรค์ธุรกิจแปลกใหม่ได้อย่างง่ายดาย ด้วยการลงทุนที่ต่ำ และอาจจะเป็นการทุบหม้อข้าวธุรกิจรูปแบบเดิมๆ ไปจนสิ้น หรือที่เราเรียกว่า Disruption นั่นเอง
แนวคิดดังกล่าวได้เกิดขึ้นจริงแล้ว ที่เราเรียกว่า “Internet of Things (IoT)” ซึ่งคาดว่าภายในปี 2020 การใช้ IoT จะแพร่หลายถึง 2.4 หมื่นล้านชิ้นทั่วโลก โดยการเชื่อมต่อสื่อสารกันของ IoT จะเข้ามา disrupt อุตสาหกรรมทุกอุตสาหกรรม ดังนั้นในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ควรตรวจสอบและวิเคราะห์ว่าจะนำเอา IoT มาใช้ประโยชน์ในการสร้างผลิตภัณฑ์และการบริการใหม่ๆ ได้อย่างไร และภาคธุรกิจด้านการให้บริการโทรคมนาคมจะวางแผนรองรับ Data workloads ที่จะต้องรองรับระบบ sensor ที่จะเกิดขึ้นในเครือข่าย IoT ที่มีจำนวนมหาศาลได้อย่างไร
ในปัจจุบันวงการสื่อสารโทรคมนาคมระดับนานาชาติ เช่น GSMA และ ITU ได้วิเคราะห์ถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของการให้บริการดิจิทัลของโลกในมุมมองของผู้ให้บริการโทรคมนาคมว่า เรากำลังจะเคลื่อนย้ายจาก “ยุค smartphone” เข้าสู่ “ยุค hyperconnected world” ภายใน 3-4 ปีนี้ โดยในปัจจุบัน smartphone และ 4G กำลังสร้างธุรกิจดิจิทัลในรูปแบบใหม่จนทำให้เกิด social media, social application, mobile commerce จนทำให้เกิดการพลิกผัน (Disruption) ในอุตสาหกรรมทุกอุตสาหกรรม ไล่เรียงจากอุตสาหกรรม Media, Telecom, Banking & Finance, Insurance, Logistic ไปจนถึง Retail ตามลำดับ ซึ่งเราได้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าในอุตสาหกรรม Media มีความรุนแรงในการ disruption ที่สูงมากในปัจจุบัน และจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในอีก 3-5 ปีข้างหน้าในยุค “Hyperconnected world” เนื่องจากการคืบเข้ามาซ้ำเติมจากเทคโนโลยี 5G และ IoT นั่นเอง
การเติบโตอย่างรวดเร็วในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ไปจนถึงการเพิ่มขึ้นของ data traffic ในโครงข่ายโทรคมนาคม สอดรับกับการพัฒนาธุรกิจ start up และ SME ที่เกิดจากการสร้างสรรค์จนเกิดระบบเศรษฐกิจใหม่ทั่วโลก จึงทำให้ระบบ mobile broadband มีบทบาททำหน้าที่เป็น Platform สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้พัฒนาอย่างก้าวกระโดดได้ เพราะนับจากนี้ไป การเชื่อมต่อของ smartphone, 4G/5G mobile broadband และ IoT ที่มีจำนวนมหาศาล จะเป็น Platform ที่สำคัญในการขับเคลื่อนสู่ระบบเศรษฐกิจรูปแบบใหม่
ในยุค Hyperconnected เมื่อเทคโนโลยีดิจิทัล ได้พัฒนามาถึงจุดที่ทรงประสิทธิภาพและได้เข้ามาบรรจบ เชื่อมโยงและหลอมรวมกัน (Convergence) อย่างแนบแน่น ด้วยราคาที่ถูกลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น 4G/5G Mobile broadband, Live VDO application, Social media, Big data, Cryptography, ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence), Data analytics, IoT จนทำให้ขีดความสามารถในการ เก็บ แยกแยะ เคลื่อนย้าย และวิเคราะห์ ถึงจุดที่สามารถสร้างอำนาจทางธุรกิจ สังคม และการเมืองได้ อย่างไม่น่าเชื่อ
ในยุต Hyperconnected จะเป็นการเปิดสู่ Sharing Economy อย่างแท้จริง เพราะผู้คนทั่วโลกจะเชื่อมต่อกับอุปกรณ์นับหลายหมื่นล้านชิ้น จนเกิดปรากฏการณ์แลกเปลี่ยนเคลื่อนย้ายข้อมูลข่าวสารความรู้ อย่างมหาศาลและรวดเร็ว จนทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ มากมาย และจะเป็นตัวเร่งให้เกิดการ disruption เร็วขึ้นในทุกอุตสาหกรรม
IoT จะมาเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจดั้งเดิมจนหมดสิ้น เพราะจะทำให้เกิดบริษัทยุคใหม่ที่ทำงานแบบ realtime และ just-in-time โดยสามารถ monitor การให้บริการลูกค้าและบุคคลากรได้อย่าง “always-on” จึงเกิดความคาดหวังในคุณภาพการให้บริการในระดับสูงจากลูกค้า จนเป็นแรงกดดันแก่องค์กรที่ทำงานแบบเดิมๆ ที่ไม่สามารถตามได้ทัน และเกิดการ disrupt บีบให้องค์กรใหญ่ๆ ที่มีรูปแบบธุรกิจดั้งเดิม ต้องออกจากตลาดไปอย่างรวดเร็ว
IoT จะเป็นตัวเปลี่ยนเกม โดยผลักดันให้บริษัทรูปแบบใหม่สร้างระบบการ monitor ผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ระหว่างการผลิตไปจนถึงการบำรุงรักษาหลังการขาย ขณะที่ผู้บริโภคกำลังใช้งานอีกด้วย ซึ่งในบางอุตสาหกรรมจะพบกับการเขย่าอย่างแรงจากการ disruption เช่นการให้บริการ Taxi และการบริการในโรงพยาบาล ที่ปรากฏชัดเป็นรูปแบบบริษัทแล้ว คือ Uber, Lyft, AirBnB เป็นต้น และในอุตสาหกรรมยานยนต์ ประกันภัย การขนส่งสินค้า ก็จะอยู่ในลำดับต่อๆไป ด้วยการติดตั้งระบบ sensor และระบบการขนส่งแบบอัตโนมัติ จนทำให้ disrupt ในระบบนิเวศ (Ecosystem) ของอุตสาหกรรมทั้งหมดในระยะ 5-10 ปีนับจากนี้ ตัวอย่างเช่น ความพยายามของการผลิตรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเอง (Self-driving cars) ที่ติดระบบ sensor IoT ทั้งคัน ของบริษัท Google และ Apple เป็นต้น
โดย Google และ Apple พยายามที่จะนำออกขายเชิงพาณิชย์ก่อนปี 2020 ยิ่งไปกว่านั้น บริษัท GM ซึ่งเป็นบริษัทผลิตรถยนต์แบบดั้งเดิม ได้กระโดดเข้ามาร่ามในอุตสาหกรรม Self-driving cars เพราะกลัวจะถูก disrupt จึงจับมือกับบริษัท Lyft ซึ่งเป็นบริษัทเครือข่ายขนส่งในสหรัฐอเมริกา โดยมีการวิเคราะห์กันว่า การแข่งขั้นด้านนวัตกรรม Self-driving cars ที่รุนแรงอาจจะทำให้รถขับเคลื่อนด้วยตัวเองจะออกมาขายเชิงพาณิชย์เร็วกว่ากำหนด และจะมีการพัฒนาด้านประสิทธิภาพในราคาที่ถูกจนใช้กันอย่างแพร่หลายในเวลาอันสั้น และเมื่อถึงเวลานั้น อุตสาหกรรมยานยนต์แบบดั้งเดิม จะถูก disrupt จนไม่เหลือโรงงานผลิตยานยนต์แบบเดิมๆ อีกต่อไป
ผู้เขียนคิดๆ ไปแล้ว ชีวิตผู้ชายอย่างพวกเราจะถูก disrupt ไปด้วย เพราะภรรยาของเรา เธอจะสามารถเข้ามาติดตามดูพวกเราได้อย่าง realtime และสามารถหาตำแหน่งของพวกเราได้ตลอดเวลาตามที่เธอต้องการ
ชีวิตช่างอยู่ยากขึ้นทุกวัน…ขอให้ผู้อ่านทุกท่านโชคดี
Reference
https://www.gsmaintelligence.com/research/?file=97928efe09cdba2864cdcf1ad1a2f58c&download
http://www.businessinsider.com/top-internet-of-things-trends-2016-1
https://en.m.wikipedia.org/wiki/Google_self-driving_car
https://www.technologyreview.com/s/602669/apples-car-plans-are-on-the-ropes/
http://blog.cutter.com/2016/04/19/preparing-for-the-disruption-of-the-iot/
https://www.gsmaintelligence.com/research/?file=97928efe09cdba2864cdcf1ad1a2f58c&download
——————
พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ
รองประธาน กสทช. และประธานกรรมการกิจการโทรคมนาคม
12 ธันวาคม 2559 15:30
www.เศรษฐพงค์.com