เป็นเวลากว่าทศวรรษมาแล้วที่นักคิดและนักคาดการณ์อนาคตได้ทำนายไว้ว่า รูปแบบภัยคุกคามด้านความมั่นคงของชาติจะเปลี่ยนไปอย่างถอนรากถอนโคน (Radical change) ซึ่งจะเป็นภัยคุกคามที่เป็นลักษณะ “สงครามอสมมาตร (Asymmetric warfare)” โดยฝ่ายตรงข้ามหรือผู้ก่อการร้ายจะโจมตีจุดสำคัญที่เป็นหัวใจของชาติโดยไม่จำเป็นต้องมีกำลังทางทหาร ด้วยการใช้สื่อดิจิทัล (New media) และเทคโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเชิงยุทธศาสตร์
รวมไปจนถึงภัยคุกคามในด้านการพัฒนาประเทศที่เกิดจากความเหลื่อมล้ำและคุณภาพด้านการศึกษาของประชาชนที่รัฐไม่สามารถพัฒนา knowledge workers ให้ทันกับการแข่งขันแบบก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆได้
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคนดังกล่าวเกิดจากการที่โลกได้มีการพัฒนาเทคโนโลยี social media และดิจิทัลไปถึงจุดเปลี่ยนสำคัญของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ทที่สามารถเชื่อมโยงมนุษย์และข้อมูลข่าวสารจากทั่วทุกมุมโลกเข้าด้วยกัน โดยมีเครือข่ายใยแก้วนำแสง ระบบสื่อสารดาวเทียม และบรอดแบนด์โมบาย ทำหน้าที่เป็นสื่อเชื่อมต่อให้กับมนุษย์ทั่วโลกจนทำให้โลกถูกเชื่อมต่อกันโดยสมบูรณ์ อีกทั้งเทคโนโลยีที่มีใช้กันอยู่ในท้องตลาดทั่วไปเริ่มมีขีดความสามารถเท่าเทียมกับเทคโนโลยีของหน่วยงานภาครัฐ จนส่งผลให้อำนาจด้านสื่อและการสื่อสาร ถูกถ่ายโอนจากภายใต้ความควบคุมของภาครัฐสู่ภาคประชาชน จึงทำให้ฝ่ายตรงข้ามและผู้ที่ไม่หวังดีต่อชาติมีเครื่องมือที่มีขีดความสามารถ มีทางเลือกในการปฏิบัติมากขึ้นและซับซ้อนขึ้น และที่สำคัญสามารถปฏิบัติการจากที่ใดก็ได้ในโลก
รูปแบบของสงครามและความมั่นคงได้เปลี่ยนไปอย่างมาก โดยเห็นได้อย่างชัดเจนหลังสงครามอ่าวเปอร์เซีย สหรัฐอเมริกาได้ตระหนักว่าต้องปรับเปลี่ยนหลักนิยมไปสู่การสู้รบโดยใช้องค์ความรู้และปัญญามากกว่าการใช้อาวุธและกำลังคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลพวงจากเหตุการณ์ในวันที่ 11 กันยายน 2544 (911) ทำให้หลายประเทศเห็นว่ามหาอำนาจในยุคโลกาภิวัตน์มิใช่ประเทศที่มีพลังทางทหารเพียงอย่างเดียว หากยังเป็นบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีความสามารถก่อความเสียหายได้เท่าๆกับการทำสงครามอีกด้วย บทเรียนดังกล่าวทำให้ประจักษ์ว่าความรู้และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้บุคคลมีพลังไม่ต่างกับประเทศมหาอำนาจในการทำลายล้าง นี่เองคือจุดเปลี่ยนของรูปแบบของสงครามหรือมีผู้รู้บางท่านเรียกว่า “สงครามรูปแบบใหม่” นั่นเอง
ในประเทศไทย การปลุกระดมชึ้นำมวลชนให้ต่อต้านอำนาจรัฐจากกลุ่มคนไม่หวังดีนอกประเทศด้วยเทคโนโลยี VDO Link, ระบบ Satellite Teleconference หรือด้วยระบบ Multimedia Broadband Internet นั้น เป็นตัวอย่างของผลกระทบของวิวัฒนาการด้านดิจิทัลต่อความมั่นคงของชาติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต อีกทั้งจากการแตกกระจายตัวของสื่อดิจิทัล (Digital media fragmentation) ที่สามารถผลิตได้อย่างรวดเร็วและส่งต่อกันได้อย่างง่ายดาย ทำให้การรายงานเหตุการณ์จากภาคประชาชนและการกระจายข่าวสารที่เกิดขึ้นในรูปแบบดิจิทัล (VDO clip) สู่เว็บไซท์สังคมเครือข่าย (Social network) อย่างเช่น LINE, Twitter, Facebook และ Blog ต่างๆสามารถทำได้อย่างทันที่ทันใดจากประชาชนผู้เห็นเหตุการณ์ที่บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยโทรศัพท์เคลื่อนที่ ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความมั่นคงของชาติอย่างทันทีทันใด (Real time) จึงเป็นผลให้สำนักข่าวต่างประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น CNN, BBC ได้อ้างอิงข่าวสารและภาพเคลื่อนไหวจากเครื่อข่ายทางสังคมดังกล่าวได้โดยตรง โดยไม่ต้องอาศัยนักข่าวของตนเอง ด้วยการรายงานข่าวแบบ Real time บนเว็ปไซท์และกระจายข่าวสารผ่าน Blog ของสมาชิกทั่วโลก จึงอาจทำให้ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในด้านภาพลักษณ์เชิงลบต่อสังคมโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจะเป็นการจารึกประวัติศาสตร์ของชาติไว้ในรูปแบบดิจิทัลอย่างมิอาจลบเลือนได้เช่นกัน
นักคาดการณ์อนาคตได้ทำนายไว้อีกด้วยว่าประมาณ 10 ปีข้างหน้าจะเกิดอำนาจของปัจเจกชน (Individual Power) ที่ชัดเจน เพราะทุกคนมีความคิด ประสบการณ์และชีวิตที่มีรูปแบบเป็นของตัวเอง และเกิดพลังอำนาจของการสื่อสารสมัยใหม่ (New Media Power) ที่ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลข่าวสารในทุกมิติ ทั้งความรวดเร็ว ความลึก ความหลากหลาย นำไปสู่การรับรู้ที่ไม่มีขีดจำกัด และยังเป็นเวทีที่นำเสนออัตลักษณ์หรือตัวตนของตนออกสู่ผู้คนที่มีอยู่ทุกมุมโลกได้พร้อมกัน นำไปสู่การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และการทำกิจกรรมร่วมกัน และถ้าหากมองมิติในเรื่องการแข่งขัน ย่อมที่จะเกิด Online War หรือสงครามออนไลน์ ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
ในอนาคตจะมีกลุ่มคนที่เป็นปัญญาชนยุคใหม่ที่ใช้ชีวิตในชุมชนออนไลน์ สามารถใช้อำนาจทางสังคมเครือข่าย ปลูกฝังความเชื่อทางการเมืองที่ผิดๆให้กับกลุ่มสมาชิก หรืออาจทำการปลุกระดมให้ต่อต้านอำนาจรัฐได้ ดังนั้น การวางยุทธศาสตร์ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และสื่อ (Cybersecurity and Media Strategy) จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับหน่วยงานด้านความมั่นคง เพราะจะมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงด้านการสื่อสารของคนในชาติ มีผลกระทบต่อความเชื่อทางวัฒนธรรม รวมถึงผลกระทบในด้านอื่นๆ เช่น ทางด้านสังคม การเมืองและความมั่นคงของชาติ ซึ่งหากบุคลากรในหน่วยงานด้านความมั่นคงเข้าใจทั้งผลกระทบและเข้าใจวิธีการใช้เทคโนโลยีดังกล่าว นำมาเป็นเครื่องมือหนึ่งในการประยุกต์กับแนวคิดของการปฏบัติการข่าวสาร (Information Operations) ก็อาจจะเกิดประโยชน์ในการสร้างพลังอำนาจของชาติที่ไม่มีตัวตน (Soft power) ได้
เหตุการณ์และแนวโน้มที่เกิดขึ้นเหล่านี้ได้ตอกย้ำถึงแนวรบที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน โดยถือว่าเป็น “ภัยคุกคามรูปแบบใหม่” ของชาติ ที่มีสาเหตุหนึ่งมาจากการขาดการพัฒนาระบบการศึกษาในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ และการขาดวิสัยทัศน์ในการวางยุทธศาสตร์ความมั่นคงในด้านการปฏบัติการข่าวสาร (Information Operations) ที่มีมิติที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและอย่างถอนรากถอนโคน จนไม่อาจยึดถือตำราเดิมที่ร่ำเรียนมาได้ จึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าในปัจจุบัน ประเทศหลายประเทศได้ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ไปในลักษณะมุ่งเน้นการสร้างองค์ความรู้ สร้างเครือข่ายและความร่วมมือกันมากขึ้น ไม่ว่าทั้งการแลกเปลี่ยนข่าวสาร การฝึกร่วมและความร่วมมือทางวิชาการ
แนวโน้มและรูปแบบภัยคุกคามด้านความมั่นคงของชาตินั้นยากแก่การคาดการณ์ ทำให้ภารกิจและยุทธศาสตร์ของหน่วยงานความมั่นคงและหน่วยงานด้านการศึกษาของประเทศจะต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ประเด็นที่สำคัญที่สุดที่หน่วยงานความมั่นคงของรัฐต้องปรับตัวคือ ต้องสร้างขีดความสามารถในการตอบสนองต่อภัยคุกคามรูปแบบใหม่อย่างทันท่วงที ดังนั้นการที่จะสร้างขีดความสามารถของหน่วยงานความมั่นคงให้สูงขึ้น จึงมีความจำเป็นต้องพัฒนาบุคคลากรและประชาชนในชาติให้มีความรู้เท่าทันโลก เพื่อที่จะช่วยตอบโต้กับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ดังกล่าว ส่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการศึกษา จำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ในการสร้าง knowledge works ผ่านโครงข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงในทุกพื้นที่ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่ออุดช่องว่างทางสังคม และเร่งสร้างระบบการศึกษาเฉพาะด้านที่มีความทันสมัยต่อการเปลี่ยนแปลงแบบอัตราเร่งที่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดยั้งได้
ในปัจจุบันที่เทคโนโลยีได้เป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศ ความพลาดพลั้งในการพัฒนาประเทศของบางประเทศในโลก ที่ไม่สามารถก้าวทันประเทศอื่นๆได้นั้น มิได้เกิดจากการที่ขาดวิสัยทัศน์ แต่ยังเกิดจากการที่รู้ปัญหาแต่ไม่สามารถแก้ปัญหาและพัฒนาได้ทันเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น… ดังนั้นจะเห็นได้ว่าในวันนี้ทุกประเทศต่างมีเครื่องมือดิจิทัลทั้งสิ้น แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า จะสร้างเครื่องมือและนำเครื่องมือมา “ใช้ได้ทันและใช้เป็น” ได้เร็วกว่าประเทศอื่นหรือไม่??!!
“…จะก้าวทันประเทศอื่นได้หรือไม่ จึงเป็นประเด็น!!!…”
เอกสารอ้างอิง
Alvin Toffler, Future Shock: Random House, 1970
Dan Gillmor, We the Media: Grassroots Journalism by the People, for the People: O’Reilly Media, Inc., 2004
หมายเหตุ
บทความนี้ได้ตีพิมพ์เมื่อ 2 เมษายน 2553 และได้ปรับปรุงแก้ไขเล็กน้อยเพื่อเผยแพร่ในครั้งนี้ และเนื้อหาของผู้เขียนมิได้เขียนมาจากจินตนาการส่วนตัว แต่เป็นการใช้ข้อมูลทางวิชาการและหลักฐานที่เชื่อถือได้มาใช้เพื่อตกผลึกในการเขียนบทความนี้
พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ
รองประธาน กสทช.
10 ตุลาคม 2559 10:00