iPerformance คือชื่อที่ BMW ใช้เรียกเหล่ารถยนต์ตระกูลปลั๊กอินไฮบริดใหม่ล่าสุด ที่ได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีมาจากรถพลังขับเคลื่อนไฟฟ้าล้ำยุคตระกูล BMW i อย่าง BMW i3 และ BMW i8 นั่นเอง แน่นอนว่ารถพลังขับเคลื่อนไฟฟ้า คืออนาคตของรถยนต์ในโลกเรา และเราก็อยู่กับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินและดีเซลแบบเดิมๆมานานเกินไปแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่า ทั้งรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป และ รถพลังขับเคลื่อนไฟฟ้า ต่างก็มีข้อดีข้อเสียของตัวเองกันทั้งนั้น ซึ่งหลายคนก็อาจยังไม่พร้อมกับการใช้รถพลังขับเคลื่อนไฟฟ้าด้วยเหตุผลต่างๆ
แต่ทว่า รถยนต์ตระกูลปลั๊กอินไฮบริด BMW iPerformance ที่ใช้ได้ทั้ง 2 ระบบ อาจจะเป็นคำตอบของใครหลายๆคน เพราะ….
- ไฮบริด คือ การที่ใช้ระบบขับเคลื่อน 2 แบบ ทั้งเครื่องยนต์สันดาปและมอเตอร์ไฟฟ้า
- ปลั๊กอิน คือ สามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟแล้ววิ่งได้เลย
ดังนั้นเราจึงสามารถเลือกใช้การขับขี่ได้ทั้ง 2 แบบตามความเหมาะสม จะใช้เครื่องยนต์แบบปกติ จะประหยัดรักษ์โลกด้วยระบบไฟฟ้าล้วนๆ หรือจะใช้ทั้ง 2 ระบบประสานเสริมกันเพื่อเพิ่มความแรงแบบสุดๆ หลุดโลกก็ได้ (แรงกว่าระบบใช้น้ำมันอย่างเดียว) เรียกว่าได้รับข้อดีจากทั้ง 2 โลก และช่วยชดเชยข้อเสียของกันและกันค่ะ
ซึ่งรถยนต์ BMW ปลั๊กอินไฮบริด ที่เปิดตัวไปแล้วในขณะนี้ ก็มี
- BMW 225xe Active Tourer iPerformance (ไม่มีในเมืองไทย)
- BMW X5 xDrive40e iPerformance
- BMW 330e iPerformance
และต่อไปเราก็จะรู้จักรถเหล่านี้ รวมถึงรถปลั๊กอินไฮบริดรุ่นที่จะเปิดตัวเพิ่มขึ้นอีก ในชื่อ BMW ตระกูล iPerformance ซึ่งอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีต่างๆจากการค้นคว้าของ BMW ที่กำลังพาโลกรถยนต์ วิวัฒนาการไปสู่รถยนต์ “generation ใหม่”
เอิ้นว่า เรื่องราวและขั้นตอนของการค้นคว้าเทคโนโลยีเหล่านี้ก็น่าสนใจมากทีเดียวนะคะ
สิ่งนี้ไม่ใช่แค่ระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า แต่เป็นเรื่องของแนวคิดที่น่าสนใจมากค่ะ และเราก็น่าจะได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากเรื่องเหล่านี้ ซึ่งเรื่องทั้งหมดก็เริ่มมาจาก “Project i” ค่ะ
BMW i – Born Electric
Urbanization
Urbanization คือ ปรากฏการณ์ที่คนย้ายจากบริเวณนอกเมืองและชนบทเข้ามาอาศัยและทำงานกันอยู่ในเมืองอย่างหนาแน่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมืองขนาดใหญ่กลายเป็นเมืองขนาดยักษ์ ระดับ Megacity คือเมืองที่มีประชากรมากกว่า 10 ล้านคน ปัจจุบันมี Megacity อยู่ 35 เมือง แน่นอนว่ากรุงเทพคือหนึ่งในนั้น (เราอยู่อันดับ 24 ด้วยจำนวนประชากรกว่า 15 ล้านคน)
ในเมืองใหญ่ๆ การเดินทางด้วยรถยนต์แบบเดิมๆ ในแต่ละวัน เผาน้ำมันจำนวนมหาศาล ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และ สารพิษอื่นๆ เข้าสู่บรรยากาศจำนวนมาก ทำให้เกิดมลภาวะและสภาวะเรือนกระจก ทำให้โลกร้อนขึ้นและจะเป็นหายนะในอนาคตอันใกล้ได้ ถ้าจำนวนรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้
Project i
บริษัทผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่รวมทั้ง BMW ต่างก็รู้สึกรับผิดชอบและพยายามแก้ปัญหานี้ด้วยการพยายามคิดค้นเทคโนโลยีการขนส่งที่ยั่งยืนกว่ามาแทนที่ และนั่นคือที่มาของ Project i จุดเริ่มต้นของการพัฒนารถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าของ BMW จนได้ผลลัพธ์มาเป็น รถพลังขับเคลื่อนไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงตระกูล BMW i คือ BMW i3 ในปี 2013 และ รถสปอร์ตระบบปลั๊กอินไฮบริด BMW i8 ในปี 2014
Electric Drive – Zero Emission
EV (Electric Vehicle) หรือรถพลังขับเคลื่อนไฟฟ้าเป็นตัวเลือกสำหรับการเดินทางที่ดีกว่ารถแบบเดิมมาก ไม่มีการปล่อยไอเสียและมีประสิทธิภาพสูงกว่ามาก มอเตอร์ไฟฟ้านั้นสามารถเปลี่ยนพลังงานที่ชาร์ทไว้ในแบตเตอรี่มาเป็นพลังขับเคลื่อนได้ถึง 96% ในขณะที่เครื่องยนต์สันดาปภายในที่ดีที่สุดในปัจจุบันสามารถเปลี่ยนพลังงานจากน้ำมันมาใช้ได้แค่ราว 40% เท่านั้น ส่วนที่เหลือจะสูญเสียไปกับความร้อน และมอเตอร์ไฟฟ้ายังให้แรงบิดสูงสุดได้ทันทีที่เร่งเครื่อง ไม่ดีเลย์เหมือนเครื่องยนต์สันดาป จึงดีกับการขับขี่ในเมืองที่ต้องจอดติดบ่อยๆ
LifeDrive Architecture
แต่การออกแบบรถพลังขับเคลื่อนไฟฟ้าที่จะใช้งานได้จริงๆ นั้นไม่ใช่แค่การเอามอเตอร์ไปใส่แทนเครื่องยนต์แล้วจบนะคะ เพราะปัญหาสำคัญของรถพลังขับเคลื่อนไฟฟ้าก็คือ ต้องใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่จำนวนมากเป็นแหล่งพลังงาน ซึ่งน้ำหนักของแบตเตอรี่ที่เพิ่มขึ้นมานี้ ทำให้ต้องสิ้นเปลืองพลังงานขึ้นมากในการขับเคลื่อน เพราะต้องใช้พลังงานในการขนตัวแบตเตอรี่เองไปด้วย ทำให้รถวิ่งได้ระยะทางไม่ไกลเท่าที่ควรต่อการชาร์จแต่ละครั้งค่ะ
ทางแก้ปัญหาก็คือ ต้องลดน้ำหนักของตัวรถลง เพื่อชดเชยกับน้ำหนักของแบตเตอรี่ แต่ทว่า ตัวรถก็ต้องแข็งแรงเหมือนเดิม หรือดีกว่าเดิม แล้วจะทำยังไงล่ะทีนี้
BMW จึงต้องคิดใหม่ทำใหม่ ออกแบบสถาปัตยกรรมใหม่สำหรับรถพลังขับเคลื่อนไฟฟ้าโดยเฉพาะ
โดยรถจะประกอบด้วย 2 ส่วนหลักที่แยกจากกัน ส่วนบนเป็นห้องโดยสารจึงเรียกว่า LIFE Module สร้างจากวัสดุพิเศษ Carbon Fiber Reinforced Plastic หรือ CFRP ที่แข็งแรงกว่าเดิม ให้ความปลอดภัยแต่กลับมีน้ำหนักเบาลงอย่างมาก ส่วนล่างเรียกว่า Drive Module คือส่วนของช่วงล่างและระบบขับเคลื่อนรวมถึงส่วนเก็บแบตเตอรี่ด้วย โดยทำจาก aluminum ทั้ง 2 โมดูลรวมกันจึงเรียกว่า LifeDrive Architecture ด้วยการออกแบบเช่นนี้นอกจากทำให้รถเบาลงอย่างมากแล้ว ยังทำให้จุดศูนย์ถ่วงต่ำลงช่วยให้รถทรงตัวดีขึ้น ขับขี่ได้อย่างคล่องตัวยิ่งขึ้นด้วย
แล้ว CFRP คืออะไร? ทำไมถึงดี? แล้วถ้าดีจริง ทำไมรถยนต์ค่ายอื่นถึงไม่ใช้กันหล่ะ? อืมมม นั่นสิ
CFRP
CFRP ย่อจาก Carbon Fiber Reinforced Polymer คือวัสดุไฮเทคแห่งอนาคต ประกอบจากวัสดุ 2 ชนิด คือ คาร์บอนไฟเบอร์ที่ให้ความแข็งแรง และ Polymer Resin ที่ทำให้คาร์บอนไฟเบอร์ยึดเกาะเข้าด้วยกันได้
คาร์บอนไฟเบอร์แข็งแรงกว่าเหล็กกล้าถึง 5 เท่า แต่มีน้ำหนักน้อยกว่าถึงครึ่งหนึ่ง
CFRP ทำให้วัสดุอัลลอยที่ใช้ในโครงสร้างรถยนต์ทั่วไปมาอย่างยาวนาน แทบจะดูล้าสมัยไปเลย
อันที่จริงแล้ว CFRP ก็ไม่ใช่ของใหม่นักนะคะ หลายคนอาจไม่คุ้นกับชื่อ CFRP แต่น่าจะได้ยินมานานด้วยชื่อทั่วไปคือ “วัสดุคอมโพสิท (composite materials)” นั่นเอง CFRP คือวัสดุคอมโพสิทชนิดหนึ่ง เป็นวัสดุเดียวกับที่ใช้สร้างยานพาหนะไฮเทค เช่น เครื่องบินโดยสารรุ่นใหม่ล่าสุดของโบอิ้ง “787 Dreamliner” นั่นเอง!
วัสดุกว่า 50% ที่ใช้สร้าง 787 ทั้งลำตัว ปีก และส่วนประกอบอื่นเป็นวัสดุคอมโพสิท ซึ่งก็คือ CFRP นี่เอง CFRP ทำให้น้ำหนักของตัวเครื่องบินลดลงมาก จึงช่วยให้ 787 ประหยัดน้ำมันได้มากกว่า 767 อันเป็นเครื่องบินรุ่นก่อนหน้า ถึง 20% และมีพิสัยการบินไกลถึง 15,700 กม. คือบินตรงรวดเดียวจากกรุงเทพไปลอสแอนเจลิสได้เลย นอกจาก 787 แล้ว CFRP ยังใช้สร้างเครื่องบินรบสุดไฮเทค F22 Raptor ด้วย ซึ่ง F22 คือเขี้ยวเล็บของกองทัพอากาศสหรัฐที่สหรัฐไม่เคยยอมขายให้กับกองทัพประเทศอื่นใดมาก่อนเลย แต่สำหรับรถยนต์แล้ว ก็จะมีแต่รถแข่ง F1 และ Supercar อย่าง Pagani Hyuara, Ferrari F12, Lamborghini Aventador เท่านั้นที่ใช้ CFRP เป็นวัสดุในการสร้าง
ดังนั้น เหตุผลที่รถยนต์ทั่วไปไม่ใช้ CFRP ก็คือ “ต้นทุนการผลิต CFRP มันแพงมากๆๆๆๆ” นั่นเองงงง
เพราะการผลิต CFRP นั้นประกอบด้วยขั้นตอนที่ต้องใช้แรงงานจำนวนมากและใช้เวลานานมากด้วย แต่เมื่อ BMW ต้องการนำ CFRP มาใช้ผลิตรถของตน และต้องสามารถขายในราคาที่แข่งขันได้ด้วย หนทางเดียวคือ ต้องค้นคว้าหาวิธีการผลิตแบบใหม่ที่ทำให้ต้นทุนลดลง จนสามารถนำมาใช้ผลิตรถพรีเมี่ยมสำหรับผู้บริโภคทั่วไปได้
และ BMW ก็ทำได้สำเร็จ ขั้นตอนผลิตที่เคยใช้เวลาเป็นวันๆ สามารถทำได้ใน 10 นาที
นี่จึงเป็นยุคใหม่ที่ผู้ใช้รถพรีเมี่ยม จะได้ใช้รถที่ผลิตด้วย CFRP เช่นเดียวกับเหล่า Supercar ว๊าววว
ประวัติย่อของ BMW ซีรีส์ i
BMW i3 และ i8 ถือเป็นรถพลังขับเคลื่อนไฟฟ้าที่ BMW เปิดตัวออกสู่ตลาดอย่างเป็นทางการ ประกาศจุดยืนเป็นหนึ่งในผู้นำของตลาดรถยุคใหม่ที่ใช้พลังงานสะอาด แต่ที่จริงแล้ว BMW ได้เริ่มทดลองพัฒนาระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้ามาตั้งแต่เมื่อ 44 ปีก่อนแล้ว ลองเล่าดูคร่าวๆนะคะ
ปี 1972 BMW ทดลองติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าใน BMW 1602 และใช้พลังงานจากแบตเตอรี่รถยนต์ธรรมดาพ่วงต่อกัน 6 ลูก ให้กำลังได้ 43 bhp (แรงม้า) และวิ่งไปได้ 30 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง
ปี 1982 BMW ทำการทดลองอีกครั้งกับ BMW ซีรีส์ 3 Generation 2 (E30 สุดคลาสสิค) ที่อยู่ในความทรงจำของวัยรุ่นไทย (ยุคนั้น) หลายคน ครั้งนี้ติดมอเตอร์ที่ให้กำลัง 61 bhp และวิ่งได้ถึง 150 กม.ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง นั่นเป็นผลงานที่เทียบได้กับรถพลังขับเคลื่อนไฟฟ้าในปัจจุบันเลย
ปี 1991 25 ปีก่อน ในงาน Frankfurt Motor Show งานมอเตอร์โชว์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก BMW เปิดตัวรถพลังขับเคลื่อนไฟฟ้าต้นแบบ BMW E1 เป็นครั้งแรก มีมอเตอร์กำลัง 50 bhp และวิ่งได้ถึง 200 กม.ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง
BMW E1 เป็นรถพลังขับเคลื่อนไฟฟ้าแท้ๆ เช่นเดียวกับ BMW i3 แต่เกิดก่อนถึง 22 ปี แทบจะเรียกได้ว่า BMW E1 เป็นพ่อของ BMW i3 นั่นเอง
แต่ BMW E1 ก็ยังเป็น Concept Car เท่านั้น ไม่ได้ขายหรือนำมาใช้งานจริงบนถนน BMW E1 คงล้ำหลายปีไปหน่อยสำหรับตลาดขณะนั้น จนกระทั่ง อีก 18 ปีต่อมา..
ปี 2009 BMW สร้าง Mini E รถพลังขับเคลื่อนไฟฟ้าที่ใช้โครงสร้างของ Mini Cooper ตามมาด้วย BMW ActiveE ในปี 2012 รถพลังขับเคลื่อนไฟฟ้าที่ใช้โครงสร้างของ BMW ซีรีส์ 1 รถทั้ง 2 รุ่นไม่ได้ผลิตเพื่อจำหน่าย แต่ผลิตเพื่อใช้ทดลองการใช้งานจริงบนถนนโดยผู้ใช้จริง 1,000 คน ใน 10 ประเทศ ทดลองขับเป็นระยะทางรวมกว่า 20 ล้านกม.
ปี 2013 ในที่สุด ความรู้และข้อมูลมหาศาลจากการทดลองหลายครั้งในช่วงเวลากว่า 40 ปี ก็นำไปสู่การเปิดตัว BMW i3 ผลิตภัณฑ์ที่ดูใหม่มากในขณะนั้น ทำให้หลายคนอาจรู้สึกว่าการใช้งาน i3 เป็นเหมือนการเข้าไปทดลอง แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย เบื้องหลังผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีต่างๆ จากบริษัทใหญ่ๆ ที่ดีๆ ในโลก ไม่ใช่เฉพาะรถยนต์ กว่าจะออกสู่ตลาดนั้น มักจะผ่านการวิจัยและทดลองมาอย่างยาวนานมาก
BWW i3 ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลัง 170 bhp อัตราเร่ง 0-100 km/h ใน 7.2 วินาที ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน มีความจุพอให้วิ่งได้ราว 190 กิโลเมตร ซึ่งน่าจะพอกับการใช้งานได้ 2-3 วันในเมือง ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
ปี 2014 BMW เปิดตัว BMW i8 ที่เป็นรถสปอร์ตระบบปลั๊กอินไฮบริดสมรรถนะสูงระดับที่แทบจะเทียบได้กับ Supercar BMW i8 มีอัตราเร่ง 0-100 km/h ในเวลาเพียง 4.4 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 250 km/h อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ยเพียง 40 km/L ที่มีสมรรถนะสูงขนาดนี้ได้เพราะ
ข้อแรก แม้ว่า BMW i8 จะอัดแน่นไปด้วยระบบขับเคลื่อนสองระบบบวกกับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ แต่ก็มีน้ำหนักรวมเพียง 1490 kg เพราะสถาปัตยกรรมแบบ LifeDrive ที่ห้องโดยสารสร้างด้วย CFRP นั่นเอง
ข้อสอง BMW i8 มีมอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 131 bhp ขับเคลื่อนล้อหน้า มีเครื่องยนต์ BMW TwinPower Turbo, direct injection 3-cylinder ให้กำลัง 231 bhp ขับเคลื่อนล้อหลัง รวมแล้วให้กำลังสูงถึง 362 bhp แรงบิดสูงสุดที่ 570 Nm ทีเดียว
เทคนิคการใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ hybrid โดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกับเครื่องยนต์เพื่อเสริมกำลังนี้เป็นแบบเดียวกับที่ใช้ในเหล่ารถ Supercar ยุคใหม่เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น LaFerrari, McLaren P1, Porsche 918 ล้วนแต่ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบ hybrid เพื่อเพิ่มสมรรถนะสูงสุดให้สูงขึ้นไปอีก
และ BMW i8 นี้ก็กลายมาเป็นต้นแบบเทคโนโลยีที่จะถ่ายทอดไปยังรถปลั๊กอินไฮบริดอื่นๆ ของ BMW ในตระกูล iPerformance อีกด้วย ทั้งวัสดุ CFRP ที่จะนำไปใช้ในโครงสร้างบางส่วน โดยเฉพาะเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าที่ใช้ใน i3 และ i8 ซึ่ง BMW เรียกว่า eDrive Technology ก็จะถูกถ่ายทอดไปเช่นกัน โดยรถนอกตระกูล BMW i รุ่นแรกที่ได้ใช้เทคโนโลยีนี้คือ BMW X5 xDrive40e iPerformance
eDrive Technology
eDrive เป็นทั้งชื่อเทคโนโลยีและแนวคิด (concept) ของการออกแบบระบบการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าของ BMW ที่ต้องการให้ระบบมีทั้งประสิทธิภาพการทำงานและประสิทธิภาพการใช้พลังงานสูงที่สุด พร้อมเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หัวใจสำคัญของ eDrive มี 3 องค์ประกอบที่ทำงานประสานเสริมกันนั่นคือ
มอเตอร์ไฟฟ้า
มอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ในรถ BMW เป็นมอเตอร์ที่ออกแบบและผลิตโดย BMW เอง ทำหน้าที่ทั้งขับเคลื่อนรถแบบใช้ไฟฟ้าล้วนๆ และ ใช้แบบประสานกับเครื่องยนต์เพื่อเพิ่มอัตราเร่งด้วย ในกรณีใช้โหมดขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วนๆ จะได้ระยะทางต่อการชาร์จ 1 ครั้งไม่เท่ากันในรถแต่ละรุ่นซึ่งแล้วแต่การออกแบบ เช่นใน BMW X5 xDrive40e iPerformance จะวิ่งได้ราว 30 กม. ส่วน BMW 330e iPerformance จะวิ่งได้ราว 40 กม.
แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนประสิทธิภาพสูง
พลังงานไฟฟ้าที่ใช้มาจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนประสิทธิภาพสูง ซึ่งมีระบบระบายความร้อนที่ช่วยรักษาอุณหภูมิของแบตเตอรี่ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับการทำงานที่สุด (optimum operating temperature) ตลอดเวลา ช่วยให้แบตเตอรี่จ่ายไฟออกมาได้มากที่สุดไม่หมดเร็ว และช่วยยืดอายุการใช้งานด้วย
แบตเตอรี่นี้สามารถชาร์จได้ง่ายทุกที่ที่มีปลั๊กไฟ ชาร์จกับปลั๊กไฟบ้านทั่วไปได้เลย อย่างรุ่น BMW X5 xDrive40e iPerformance ที่เอิ้นได้นำมาทดลองขับดูแล้ว ก็สามารถชาร์จไฟจนเต็มได้ภายในเวลา 4 ชม. แต่ถ้าใช้อุปกรณ์เสริมอย่าง BMW i Wallbox ก็จะชาร์จได้เร็วขึ้นอีกค่ะ
ระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะ
ระบบจัดการพลังงานอัจฉริยะ (Intelligent energy management) คือระบบสลับและจัดการการทำงานของระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้ากับระบบที่ใช้น้ำมันตามความเหมาะสม ซึ่งในรถระบบปลั๊กอินไฮบริดของ BMW นั้น ในระหว่างใช้งาน นอกจากแบตเตอรี่จะใช้จ่ายไฟให้กับมอเตอร์แล้ว แบตเตอรี่จะถูกชาร์จไปด้วย เมื่อรถเบรคหรือชะลอความเร็ว โดยการเปลี่ยนพลังงานจลน์เป็นพลังงานไฟฟ้าด้วย generator ส่งกลับไปชาร์จแบตเตอรี่ และยังสามารถชาร์จแบตเตอรี่ด้วยเครื่องยนต์ได้ด้วย
โดยในสภาวะที่เครื่องยนต์ทำงานในสภาพที่มีโหลดต่ำเกินไป จะทำให้มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานต่ำ มีความสูญเสียมาก ระบบจะบังคับให้เครื่องยนต์ทำงานด้วยกำลังที่สูงขึ้น แต่มีประสิทธิภาพสูงกว่า และพลังงานส่วนเกินนั้นจะนำไปใช้ชาร์จแบตเตอรี่เก็บไว้ ดังนั้นเราจึงมีทางเลือกในการใช้พลังงานให้เหมาะสม ว่าเมื่อไหร่จะขับเคลื่อนด้วยระบบใด จะใช้ไฟหรือจะชาร์จไฟ
หน้าจอของ BMW X5 xDrive40e iPerformance ในขณะที่ใช้งาน เราก็จะเห็นการจัดการพลังงานด้วย
ปุ่ม eDrive ที่อยู่ในรถนั้นจะมีการทำงานให้เลือกอยู่ 3 โหมดคือ AUTO eDrive, MAX eDrive และ SAVE BATTERY
AUTO eDRIVE mode
โหมดนี้คือโหมดปกติที่ระบบจะพยายามควบคุมให้เครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าทำงานประสานกันให้ได้ประสิทธิภาพสูงที่สุดโดยอัตโนมัติ ซึ่งระบบจะประมวลผลจากข้อมูลทั้งหมดที่มี รวมถึงข้อมูลจากเส้นทางที่ป้อนเข้าระบบนำทางด้วย
MAX eDRIVE mode
คือโหมดขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าล้วนๆ ไม่ใช้น้ำมัน แต่หากเราใช้ความเร็วเกินความเร็วสูงสุดของระบบไฟฟ้าล้วนๆ ที่จะสูงสุดที่ 120 km/h ระบบก็จะสลับไปใช้เครื่องยนต์ (ใช้น้ำมัน) โดยอัตโนมัติ
ซึ่งจากที่ได้ทดลองใช้โหมดนี้ดูแล้ว แม้จะเป็นไฟฟ้าล้วนๆ ก็วิ่งได้เร็วมากๆ จริงๆ
SAVE BATTERY mode
เมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมด ผู้ขับอาจเลือกโหมดนี้ให้ระบบช่วยชาร์จแบตเตอรี่ด้วยเครื่องยนต์ (ในสภาวะที่เหมาะสม) และไม่ให้ใช้ไฟจากแบตเตอรี่ เพื่อเก็บไฟฟ้าไว้ใช้ในภายหลังเมื่อต้องการ
ซึ่งเอิ้นก็ได้ทดลองขับรถ BMW หนึ่งในรุ่นที่เป็น iPerformance ดูแล้ว โดยเลือกรุ่น BMW X5 xDrive40e iPerformance รถ SUV หรูยุคใหม่พลังงานไฟฟ้าแบบ Plug-In ที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีมาจาก BMW i8 มาทดลอง ก็พบว่า เมื่อใช้โหมด AUTO eDRIVE รถก็แรงมากๆ และเมื่อใช้ MAX eDRIVE mode ที่ใช้ไฟฟ้าล้วนๆ ก็วิ่งได้เร็วมากๆ วิ่งรถติดๆ ก็ประหยัด พร้อมประสิทธิภาพ เรียกได้ว่าเป็นเทคโนโลยีของรถ generation ใหม่ ที่ล้ำสมัย นอกจากแรงแล้วยังรักษาสิ่งแวดล้อม และช่วยประหยัดได้ง่ายๆ แค่เสียบปลั๊ก
บทสรุป
ที่ผ่านมา รถยนต์ระบบไฮบริดทั่วไปมักจะมีภาพลักษณ์ของการเป็นรถประหยัดน้ำมันและรักษาสิ่งแวดล้อม แต่สำหรับรถระบบปลั๊กอินไฮบริดอย่าง BMW iPerformance ที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีมาจากรถตระกูล BMW i (เช่น i3 และ i8) นั้น นอกจากจะประหยัดพลังงาน รักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังได้ประสิทธิภาพและสมรรถนะการขับขี่ที่ดียิ่งขึ้นอีกด้วยจริงๆค่ะ
แต่ถ้าคิดจะเทียบกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปแบบเดิมๆ แล้วละก็ เลือกใช้ตามความเหมาะสมกับสภาพการเดินทาง วิถีชีวิต และแนวคิดของเราจะดีกว่า แต่อย่านำไปเปรียบเทียบกันเลย เพราะ BMW iPerformance นับเป็นรถคนละ generation กันแล้วหล่ะค่ะ
ปานระพี รพิพันธุ์ (IG: panraphee)