BLOCKCHAIN อีกแล้ว!!!…จะพลิกโฉมอุตสาหกรรมการเงินและการธนาคาร จริงหรือ?
บทความโดย : พ.อ. ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ
ประธาน กทค. และรองประธาน กสทช.
การชำระเงินผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่และการเกิดขึ้นของ Blockchain กำลังเป็นเรื่องที่ถูกจับตามองในแวดวงการเงินการธนาคารอย่างมาก เพราะอาจจะเป็นการหลอมรวมเทคโนโลยี ที่จะมีผลต่อการพลิกโฉมเทคโนโลยีทางการเงินจนเป็นผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกในทุกๆอุตสาหกรรม
และด้วยเหตุผลใดกันล่ะ? ที่จะทำให้เทคโนโลยีดังกล่าวมาเปลี่ยนโลกของเรา?…
หากมีการทำงานร่วมกันระหว่างเทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่ และ Blockchain ในอุตสาหกรรมการเงินและการธนาคาร จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายประเด็น ดังต่อไปนี้
1. มีความปลอดภัยมากขึ้น
ความปลอดภัยเป็นประเด็นสำคัญที่สุดที่จะต้องพิจารณาสำหรับการชำระเงินผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ และ Blockchain ก็เป็นเทคโนโลยีที่นำมาซึ่งความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ และยังป้องกันการหลอกลวงต่างๆ ทางอินเทอร์เน็ตได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้เพราะว่าการทำธุรกรรมผ่าน Blockchain ในแต่ละครั้งนั้น จะได้รับการอนุมัติว่าเป็นธุรกรรมที่ถูกต้อง ก็ต่อเมื่อในเครือข่ายส่วนใหญ่เห็นด้วยว่าข้อมูลการทำธุรกรรมนั้นถูกต้อง ทำให้การเจาะข้อมูลหรือการเปลี่ยนแปลงข้อมูลนั้นทำได้ยากมาก
2. ชำระเงินได้ทันที
เมื่อทำการชำระเงิน เราก็มักจะคาดหวังว่าจะสามารถดำเนินการได้สำเร็จในทันที อย่างไรก็ตามธุรกรรมบางอย่างก็ยังใช้เวลาหลายนาทีหรือบางทีเป็นชั่วโมงในการดำเนินการได้สำเร็จ หรือแม้กระทั่ง Bitcoin ก็ยังเผชิญกับปัญหานี้ แต่ Blockchain นั้นจะทำให้เมื่อมีการโอนเงิน ผู้รับโอนจะได้รับทันทีในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีไม่ว่าจะโอนจากส่วนไหนของโลกก็ตาม
3. การกู้ยืมเงินแบบคนต่อคน (P2P Lending)
การให้กู้ยืมแบบคนต่อคนนั้น เป็นหนึ่งในรูปแบบการบริการทางการเงินที่เป็นที่น่าจับตาและเติบโตเร็วที่สุดในกลุ่ม Fintech เพราะมีความสะดวก เนื่องจากผู้กู้จะสามารถกู้ยืมเงินได้ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง และผู้ให้กู้ก็ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น เทคโนโลยี Blockchain จะช่วยให้ผู้กู้สามารถทำธุรกรรมทางการเงินกับผู้ให้กู้ได้โดยตรง ไม่ต้องมีการทำเอกสารต่าง ๆ ผ่านตัวกลางอย่างธนาคารหรือสถาบันการเงินต่างๆ
นอกจากนี้ Blockchain ยังช่วยให้การให้กู้เงินสามารถทำได้อย่างปลอดภัยและสะดวกยิ่งขึ้นผ่านแอพพลิเคชั่นหรือแม้แต่สื่อสังคมออนไลน์ เช่น เฟซบุคหรือทวิตเตอร์
4. การโอนเงินไปยังต่างประเทศ (Remittances)
ธนาคารโลกได้ประเมินว่าต้นทุนโดยเฉลี่ยสำหรับธุรกรรมการโอนเงินไปต่างประเทศทั่วโลกนั้น คิดเป็น 7.5% ของเงินโอน หากสามารถลดต้นทุนดังกล่าวลงได้ 5% จะสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้ถึง 16 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี
Blockchain จะทำให้ผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถโอนเงินไปยังผู้รับโอนได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านบุคคลที่สามเช่น ธนาคารหรือสถาบันการเงิน ดังนั้นจึงไม่ต้องมีการจ่ายค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรรมดังกล่าว ซึ่งขณะนี้มีหลายบริษัทฯ ที่ให้บริการการโอนเงินรูปแบบนี้แล้วเช่น บริษัท Abra และ Coins.ph เป็นต้น
5. กระเป๋าเงินดิจิทัล (Mobile Wallets)
ตามที่เราได้เคยพูดกันว่า เงินสดและเช็ค เป็นวัตถุโบราณไปซะแล้ว แม้แต่บัตรเครดิตยังกลายเป็นอดีต เพราะกระเป๋าเงินดิจิทัลจะเข้ามาแทนที่ อย่างเช่น Apple Pay, Samsung Pay, Android Pay หรือแม้กระทั่งผู้ค้าปลีกรายใหญ่ เช่น Wal-mart ก็ยังมีการนำเสนอรูปแบบการบริการกระเป๋าเงินดิจิทัล เพื่ออำนวยความสะดวกและดึงดูดให้ผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่มาใช้บริการกระเป๋าเงินดิจิทัล
อุปสรรคสำคัญที่จะต้องเอาชนะให้ได้ในขณะนี้ ก็คือ เรื่องการรักษาความปลอดภัย ซึ่งเทคโนโลยี Blockchain จะทำให้การใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลนั้นมีความปลอดภัยมากขึ้น ด้วยระบบ multi signature ในการยืนยันตัวตนเมื่อซื้อสินค้าและบริการ และเทคโนโลยี Blockchain ยังทำให้การใช้กระเป๋าเงินดิจิทัล เป็นไปอย่างรวดเร็ว และสามารถลดค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการชำระเงินได้
6. การสะสมคะแนนและโปรแกรมการสร้างลูกค้า (Reward and Loyalty Programs)
ลูกค้าส่วนใหญ่ชอบที่จะมีการสะสมคะแนนเพื่อแลกของรางวัล โทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นรูปแบบการให้บริการที่ช่วยในการนำเสนอและจัดการคะแนนสะสมได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างเช่น Starbucks หรือการสะสมสแตมป์ของ 7-11 ก็ใช้รูปแบบนี้ Blockchain จะเข้ามามีส่วนสำคัญในเรื่องการแลกเปลี่ยนคะแนนสะสมกล่าวคือ คะแนนสะสมที่มีการเปลี่ยนมือได้ เพราะว่าธุรกรรมได้ถูกบันทึกไว้อย่างเปิดเผยเชื่อมโยงกันทั้งระบบ ดังนั้นผู้ประกอบการแต่ละรายสามารถตรวจสอบคะแนนที่มีการแลกเปลี่ยนกันได้ แต่ยังไม่สามารถทำแบบนี้ได้ในในขณะนี้ แต่ในอนาคตอันใกล้ เราสามารถให้คะแนนสะสมของ Starbucks หรือคะแนนสะสมของสายการบิน แก่เพื่อนได้เพียงแค่กดปุ่มเท่านั้น
Plutus เป็นแอพพลิเคชั่นที่มีแปลงคะแนนสะสมของลูกค้ามาเป็นเงินดิจิทัลที่สามารถใช้ในการโอนเงิน และชำระค่าสินค้าได้ ในอนาคตระบบการสะสมคะแนนจะสามารถใช้โดยผู้ประกอบธุรกิจในการคืนกำไรให้ลูกค้าโดยไม่ได้จำกัดแค่เพียงร้านค้าเพียงร้านเดียวเท่านั้น เช่น เราสามารถที่จะใช้คะแนนสะสมของสายการบินที่ร้าน Starbucks ได้ เป็นต้น
7. ไม่มีสมุดบัญชีธนาคารก็ทำธุรกรรมได้ (The Unbanked Getting Banked)
การมีบัญชีธนาคารก็ยังคงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนทั่วไปในโลกนี้ ไม่ว่าคุณจะอาศัยอยู่ที่ใดในโลก แต่ในปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีบัญชีธนาคาร เราก็สามารถใช้ Blockchain ในการซื้อ-ขายของออนไลน์ กู้เงิน หรือโอนเงินได้อย่างปลอดภัยและไม่มีค่าธรรมเนียม เหตุผลนี้เองจึงทำให้อาจเป็นจุดเล็กๆ ของการเกิดการ disruption ของอุตสาหกรรมการเงินและการธนาคาร
8. การขยายตัวของอุปกรณ์ไอทีแบบสวมใส่ และเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ (Expansion of Wearables and IOT)
การชำระเงินผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ก้าวล้ำไปมากกว่าสมาร์ทโฟนและแทบเล็ต อุปกรณ์ไอทีที่สวมใส่ได้ เช่น นาฬิกา กำไลข้อมือ และแหวน ต่างเป็นธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่และเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลก Blockchain ทำให้ผู้ใช้สามารถเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการชำระเงินได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกล้วงหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูล
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือ ในอนาคตเราสามารถทำการชำระเงินได้อย่างง่ายดาย ตัวอย่างเช่น เมื่อเราต้องการซื้อนม ก็เพียงแค่เดินเข้าไปในร้านค้า แกว่งมือ นาฬิกาข้อมือจะตรวจจับรหัสบนกล่องนมและทำการประมวลผล เท่ากับเป็นการซื้อนมแล้วและนมกล่องนั้นก็จะกลายมาเป็นของเรา
Blockchain ทำให้ผู้พัฒนามีโอกาสในการพัฒนา Application Programming Interface (APIs) ที่เป็นช่องทางการเชื่อมต่อระหว่างเว็บไซต์หนึ่งไปยังอีกเว็บไซต์หนึ่งหรือเป็นการเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้งานกับเซิฟเวอร์ เพื่อทำให้การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆทำได้ง่ายขึ้น ไม่แน่ว่าในอนาคตตู้เย็นที่บ้านคุณอาจจะรู้ก็ได้ว่าตอนนี้นมหมดแล้ว และอาจจะกำลังทำการสั่งซื้อเองได้โดยอัตโนมัติ!!!
ผู้เขียนขอฝากผู้อ่านช่วยกันคิด…
“เราต้องรู้ว่าสิ่งใดที่ไม่สามารถต้านทานได้ แต่สามารถชนะได้ด้วยความรู้และปัญญา การปรับตัวเข้ากับดิจิทัลในระดับนโยบายของประเทศ ไม่ใช่เพียงแต่การสร้างระบบเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) เท่านั้น แต่ยังต้องคิดสร้างงานที่รองรับประชากรที่ไม่มีขีดความสามารถทั้งความรู้และประสบการณ์ด้านดิจิทัลอีกด้วย เพราะหากประเทศเป็นดิจิทัลแล้ว มีแต่คนรุ่นใหม่ที่มีความรู้อยู่รอด แต่คนส่วนใหญ่ยังยืนงง และหมดโอกาส ไม่มีที่ยืนในการจ้างงานพวกเขา และหากประเทศของเราปรับตัวไม่ทันการเปลี่ยนแปลง เราคงจะได้พบกับปัญหาใหญ่ระดับชาติจากการวิ่งเข้าสู่ดิจิทัล อย่างขาดความเข้าใจอย่างแน่นอน”