พันเอก เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ประธานกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) และรองประธาน กสทช. แถลงว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการพัฒนาเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมอย่างก้าวกระโดด โดยในปี 2014 คนไทยมีอัตราการเข้าถึงบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ร้อยละ 149 นั่นหมายความว่าคนไทยส่วนใหญ่มีมือถือมากกว่า 1 เครื่อง หรือมีการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่มากกว่า 1 เลขหมายต่อคน
นอกจากนี้จำนวนผู้ใช้เทคโนโลยี 3G/4G บนความถี่ย่าน 2.1 GHz ประมาณ 78.2 ล้านเลขหมายหลังจากการประมูลคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHz ได้เพียงสองปี จนสามารถครองแชมป์ประเทศที่ประชาชนมีการเปลี่ยนผ่านเครือข่ายจาก 2G มาสู่ 3G/4G เร็วที่สุดในโลก ย่อมแสดงให้เห็นว่าความต้องการใช้งานเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการใช้งานประเภท DATA ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คาดว่าในปี พ.ศ. 2563 การใช้งานประเภทข้อมูลโดยเฉลี่ยน่าจะมีโอกาสมากกว่า 1 Gigabyte ต่อเดือนต่อคน เนื่องจากแนวโน้มในช่วงหลายปีที่ผ่านมาการใช้งานประเภทข้อมูลบนเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่มีการเติบโตขึ้นอย่างมหาศาล ทำให้ในปัจจุบันผู้ประกอบการหลายรายทั่วโลกเริ่มเปิดให้บริการ 4G LTE บนความถี่ 2.1 GHz เพื่อช่วยเพิ่มประสบการณ์ใช้งานประเภทข้อมูลแก่ผู้ใช้บริการ เนื่องจากในจำนวนแบนด์วิธที่เท่ากัน หากนำมาใช้เชื่อมต่อกับเครือข่าย 3G ผู้ใช้บริการจะได้ความเร็วในระดับหนึ่ง แต่เมื่อนำมาเชื่อมต่อกับเครือข่าย 4G LTE จะได้ความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3 – 4 เท่าตัว และมีความเสถียรมากขึ้น
ซึ่งปัจจุบันนี้ประเทศที่ให้บริการ 4G LTE บนความถี่ย่าน 2.1 GHz ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ เบลเยี่ยม แคนาดา เป็นต้น รวมทั้งประเทศไทยด้วย
เมื่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคมและการสื่อสารที่มีการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ทำให้บรรดาผู้ประกอบการเครือข่ายต่างมุ่งเน้นการให้บริการด้วยเทคโนโลยีใหม่ อย่าง LTE หรือ Long Term Evolution เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการ ซึ่งไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพของเครือข่ายเท่านั้น แต่ยังทำให้ขีดความสามารถทางการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น
จากการศึกษาของ IDC เกี่ยวกับการใช้งาน เทคโนโลยี LTE ในปัจจุบันของ 5 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และเวียดนาม พบว่าที่ผ่านมาประเทศไทยให้บริการเครือข่าย LTE เฉพาะความถี่ย่าน 2.1 GHz เท่านั้น ในปี 2014 มีจำนวนเลขหมายบริการ LTE เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านเลขหมาย ส่วนประเทศฟิลิปปินส์ ที่มีการให้บริการ LTE บนความถี่ย่าน 800MHz 1800MHz 2.1GHz และ 3.5GHz โดยมีจำนวนเลขหมายบริการรวม 135,000 เลขหมาย ประเทศมาเลเซีย ให้บริการ LTE บนความถี่ย่าน 800MHz 1800MHz และ 2.6GHz โดยมีจำนวนเลขหมายบริการรวม 700,000 เลขหมาย และอินโดนีเซีย ให้บริการ LTE บนความถี่ย่าน 900MHz และ 2.3GHz โดยมีจำนวนเลขหมายบริการรวม 500,000 เลขหมาย และคาดว่าใน ปี 2015 นี้จะจำนวนผู้ใช้บริการ LTE ในประเทศไทยจะมีจำนวนเลขหมายมากกว่า 2 ล้านเลขหมาย ในขณะที่ฟิลิบปินส์ มีจำนวนเลขหมายบริการ LTE ขยับขึ้นเป็น 2 แสนเลขหมาย ส่วนมาเลเซีย และอินโดนีเซีย จะมีจำนวนเลขหมายบริการประเทศละ 1.5 ล้านเลขหมาย และประเทศเวียดนามจะเริ่มให้บริการ LTE ในปี 2016
นอกจากนี้ การประมูลคลื่นความถี่ย่าน 1800 MHz ในครั้งนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้ โดยผลการศึกษาของคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนทั้งทางตรงจากเงินที่ได้จากการประมูลคลื่นความถี่ไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นล้านบาท และมูลค่าการลงทุนสร้างโครงข่ายของผู้ประกอบการเครือข่าย อีกรายละประมาณ 5 หมื่นล้านบาท และเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจทางอ้อมจากการเกิดธุรกิจใหม่ๆ ทั้งในภาคโทรคมนาคมเอง และในภาคอื่นๆ ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจอีกประมาณ 1.6 – 1.8 แสนล้านบาท ในปี 2559 และอีกประมาณ 2.6 แสนล้านบาท ในปี 2560 ทำให้ในระยะเวลา 2 ปี หลังจากการประมูลคลื่นความถี่ย่าน 1800 MHz จะมีเม็ดเงินลงทุนในระบบเศรษฐกิจรวมมูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาท
จะเห็นได้ว่าแม้ประเทศไทยจะให้บริการ LTE บนความถี่ย่าน 2.1 GHz เพียงย่านเดียวแต่ผู้ใช้บริการเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีจำนวนมากกว่าหลายๆประเทศในภูมิภาค นั่นแสดงให้เห็นว่าหากมีการประมูลคลื่นความถี่ย่าน 1800MHz และ 900MHz จะทำให้มีการแข่งขันในตลาดที่สูงขึ้น และจะทำให้อัตราค่าบริการลดลงจากการแข่งขันด้วยคุณภาพบริการที่ดีขึ้น จะเป็นการรองรับผู้ใช้บริการข้อมูลได้มากยิ่งขึ้น ทำให้จำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ก่อเกิดการลงทุนในกิจการโทรคมนาคมและกิจการอื่นที่เกี่ยวข้องอย่างแท้จริง ซึ่งถือเป็นการต่อยอดการให้บริการทางดิจิทัล โดยจะทำให้เกิดการสร้างบริการในรูปแบบใหม่ๆ รองรับความต้องการใช้งานบรอดแบนด์ที่มีมากขึ้น ทำให้เกิดความพร้อมใช้งานเครือข่าย การซื้อขายแลกเปลี่ยนและการสร้างความคิดริเริ่มใหม่ๆ ทางดิจิทัล ทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงบริการบรอดแบนด์มากยิ่งขึ้น ยกระดับคุณภาพและวิธีการติดต่อสื่อสารของผู้บริโภคชาวไทยให้เข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว ซึ่งสมาคมจีเอสเอ็ม (GSMA) ซึ่งเป็นสมาคมนานาชาติๆด้านโทรคมนาคม ได้วิเคราะห์ว่าประเทศไทยจะก้าวจากประเทศกำลังพัฒนาด้าน ICTs ไปสู่ประเทศที่มีการพัฒนาแล้วในด้าน ICTs และจะเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในเวที ASEAN และเวทีโลกได้อย่างเข้มแข็ง หากมีการจัดสรรคลื่นความถี่ย่าน 900MHz และ 1800MHz สำเร็จตามแผน