สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เผยหลักฐานล่าสุดจาก NASA ชี้ ลูกไฟที่เมืองไทย 7 กันยายน เป็นวัตถุจากนอกโลก เส้นผ่านศูนย์กลางเกือบ 4 เมตร มวล 66 ตัน ความเร็วมากกว่า 75,600 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สว่างที่สุดขณะสูงจากพื้น 29.3 กิโลเมตร เป็นลูกไฟใหญ่ที่สุดที่พุ่งเข้ามาในบรรยากาศโลกในรอบปี คาดอาจมีชิ้นส่วนเหลือตกที่กาญจนบุรี ย้ำเป็นเหตุการณ์ปกติ ที่น่าตื่นเต้นแต่ไม่ต้องตกใจ
เหตุการณ์ลูกไฟสว่างตกจากฟ้า ในช่วงเช้าวันจันทร์ที่ 7 กันยายน 2558 ที่ผ่านมา เห็นในกรุงเทพฯ กาญจนบุรี และอีกหลายจังหวัดในภาคกลาง จากหลักฐานภาพถ่ายและคลิปวิดีโอที่ประชาชนบันทึกไว้ในแต่ละพื้นที่ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ(องค์การมหาชน) (สดร.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้วิเคราะห์และชี้แจงในเบื้องต้นว่าอาจเป็นลูกไฟ (Fireball หรือ Bolide) จากดาวเคราะห์น้อยหรือวัตถุขนาดเล็กผ่านเข้ามาในชั้นบรรยากาศโลกด้วยความเร็วสูงมาก เสียดสีเกิดความร้อนจนลุกไหม้ เห็นเป็นลูกไฟ มีควันขาวเป็นทางยาว เสียงดังคล้ายระเบิด เห็นได้เป็นบริเวณกว้าง
ภาพแสดงพื้นที่ที่อาจมีอุกกาบาตตกบริเวณอุทยานแห่งชาติไทรโยค อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี
กินพื้นที่เป็นวงกว้างเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 30 กิโลเมตร
ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เปิดเผยว่า สดร. ได้รับข้อมูลที่ยืนยันจากองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ NASA และการลงพื้นที่สำรวจข้อมูลเบื้องต้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว วิเคราะห์แล้วพบว่าเป็นวัตถุจากนอกโลก ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3.5 เมตร มวลประมาณ 66 ตัน พุ่งเข้ามาในบรรยากาศโลกด้วยความเร็วประมาณ 75,600 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีความสว่างที่สุดในขณะอยู่สูงจากพื้นโลกประมาณ 29.3 กิโลเมตร พลังงานการชนของวัตถุดังกล่าวมีค่าเทียบเท่าการระเบิดของ TNT 3.9 กิโลตัน (หรือ 1 ใน 4 ของระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมา) ทิศทางการเคลื่อนที่มุ่งไปทางตะวันตก ที่มุมอะซิมุท 269.8 องศา มุมเอียงของการชนเทียบกับพื้นโลก 45.4 องศา ระบุพื้นที่ที่อาจมีอุกกาบาตตกบริเวณอุทยานแห่งชาติไทรโยค อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี กินพื้นที่เป็นวงกว้างเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 30 กิโลเมตร นับเป็นลูกไฟขนาดใหญ่ที่สุดที่พุ่งเข้ามาในบรรยากาศโลกในรอบปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มีรายงานว่ามีการพบอุกกาบาตจากวัตถุดังกล่าว สดร. ยังคงจะติดตามข้อมูลดังกล่าวอย่างใกล้ชิด
และขอยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ปกติที่อธิบายได้ จากสถิติพบว่ามีอุกกาบาตตกลงมาบนโลกเป็นจำนวนมากแต่ไม่เป็นข่าวเนื่องจากส่วนมากตกในมหาสมุทรหรือบริเวณที่ไม่มีบริเวณที่ไม่มีผู้คนอยู่อาศัย โอกาสที่จะเกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินก็มีความเป็นไปได้น้อยมาก จึงเป็นเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นแต่ไม่น่าตกใจ กรณีนี้ไม่ต่างจากที่เราเห็นดาวตกตอนกลางคืน เพียงแต่เหตุการณ์นี้เห็นได้ในแหล่งชุมชนและเกิดขึ้นในเวลากลางวันเท่านั้น
กราฟแสดงค่าพลังงานการชนของวัตถุดังกล่าวเทียบเท่าการระเบิดของ TNT 3.9 กิโลตัน ขนาดที่สอดคล้องกันดูได้จากแกน x ที่อยู่ด้านบนคือเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3.5 เมตร มีอัตราการตกเฉลี่ยปีละครั้ง
ภาพแสดงจำนวนเหตุการณ์ที่ดาวเคราะห์น้อยขนาดเล็กเคลื่อนที่เข้ามาในชั้นบรรยากาศโลกตั้งแต่ปี 1994 -2013 จุดสีน้ำเงินหมายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลากลางคืนมีทั้งหมด 301 ครั้ง ส่วนจุดสีเหลืองหมายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลากลางวันมีทั้งหมด 255 ครั้ง
หากสนใจสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.narit.or.th และ facebook สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ