เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2558 พันเอก ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ประธานกรรมการกิจการโทรคมนาคม และรองประธาน กสทช. ได้เข้าพบ ดร. อึน จู คิม Chief of Innovation and Partnership Department ของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) โดย ดร. คิม ได้กล่าวชื่นชมประเทศไทยที่มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในเรื่อง ICT และทาง ITU ได้ยกประเทศไทยเป็นกรณีศึกษาที่สำเร็จในรายงาน Measuring the Information Society Report 2015 โดย ITU ยังได้ติดตามพัฒนาการของประเทศไทยมาตั้งแต่หลังการประมูลคลื่น 2100 MHz มาจนการประมูลคลื่น 1800 MHz ที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการ 3G และ 4G ได้อย่างทั่วถึงและกว้างขวางรวดเร็วที่สุดในโลก โดยการหารือเห็นตรงกันว่าประเทศไทยควรมีการผลักดันต่อยอดจากโครงข่าย 3G และ 4G ที่มีอยู่และกำลังจะขยายต่อเนื่องต่อไป ซึ่งเรื่องการขยายบริการการเงินโดยทั่วถึง (Financial Inclusive) จะสามารถสนับสนุนธุรกิจ SME และประชาชนผู้อาศัยในพื้นที่ห่างไกลได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามการกำกับดูแลในเรื่องนี้จะต้องมีความร่วมมือกันของธุรกิจการเงินการธนาคารกับธุรกิจโทรคมนาคม การกำกับดูแลจะต้องระวังไม่ให้เกิดการทับซ้อนอันนำไปสู่อุปสรรคในการดำเนินการได้ โดยทางสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศจะให้ความร่วมมือกับ กสทช. ในการนำผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์เข้ามาให้ความรู้ให้คำปรึกษาในการกำหนดนโยบายเรื่องนี้เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ได้จริง ซึ่งได้เคยดำเนินการที่ประสบความสำเร็จกับประเทศอื่นๆมาแล้ว
นอกจากนี้หัวข้อการหารืออื่น ๆ เช่น การสร้างโปรแกรม Young Innovation เพื่อสนับสนุนเยาวชนให้สร้างนวัตกรรมใหม่ๆบนโครงข่ายโทรคมนาคม หรือการสร้างนโยบายนวัตกรรม เพื่อให้มีผู้ประกอบรายใหม่ รายย่อย เพื่อต่อยอดโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่
หลังจากนั้น ประธาน กทค. ได้พบกับ Mr. Kemal HUSEINOVIC, Chief of Infrastructure, Enabling Environment and E-Applications (IEE) ของ ITU เพื่อหารือในการสร้างการเตรียมพร้อมการถูกโจมตีทางไซเบอร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการโจมตีต่อโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญยิ่ง (Critical Infrastructure) ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและเป็นวงกว้างต่อสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ หากไม่มีการวางยุทธศาสตร์ในด้านนี้ โดยที่ผ่านมาทางสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศได้ส่งผู้เชี่ยวชาญมายังประเทศไทยในการให้ความรู้สร้างความตระหนักถึงภัยไซเบอร์ ผ่านการสัมมนาและการสร้างแบบการจำลองสถานการณ์ต่อการโจมตีไซเบอร์ที่เข้าสู่โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญยิ่ง โดยทั้งนี้สองฝ่ายเห็นร่วมกันว่าควรมีการเดินหน้าในเรื่องนี้ โดยจะมีโครงการในการประเมินความสามารถในการรับมือภัยไซเบอร์ของภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อนำมาเป็นข้อมูล ในการกระตุ้นเตือนให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาร่วมมือกันในการรับมือต่อการโจมตีไซเบอร์ และมีการนำมาสร้างยุทธศาสตร์ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ระดับชาติต่อไป