รายการ it24hrs on radio ทาง FM 106 วิทยุครอบครัวข่าว ยังคงเกาะติดนำเสนอเกี่ยวกับ Tech Startup ไทย ซึ่งปีนี้มาแรงมาก โดยวันนี้ได้มีโอกาสสัมภาษณ์กับทีม Claim di ทีมชนะเลิศการแข่งขัน dtac acceletate ปี 2014 (ปีล่าสุด) และเป็นทีมแรกๆ ที่นอกจากจะได้รับการสนับสนุนและเงินทุนจาก DTAC Accelerate แล้ว ยังได้รับเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติอีกด้วย และเมื่อเร็วๆนี้ ยังได้มีโอกาสไปแข่งขันต่อที่ประเทศนอร์เวย์พร้อมกับนำประสบการณ์มีประโยชน์มาแชร์ให้เราได้ฟัง ส่วนแอพ Calim Di แอพเคลมประกันของทีมนี้ ก็ประสบความสำเร็จอย่างมากอีกด้วย ถือเป็น Tech Startup ไทย ที่ประสบความสำเร็จในยุคนี้ทีเดียว
คุณแจ็ค กิตตินันท์ อนุพันธ์ CEO บริษัท Anywhere to go ( หัวหน้าทีม Claim di ) กล่าวว่า แอพ Claim di นี้ เป็นแอพพลิเคชั่นที่พัฒนาต่อยอดจาก “แอพมาเร็ว เคลมเร็ว “ โดยกรณีเกิดเหตุการณ์รถชนแล้ว ก็เรียกพวก ทีมงานตัวแทนประกัน ที่จะมาพร้อมกับแอพบนมือถือ พร้อมพริ้นเตอร์ ทำการถ่ายภาพอุบัติเหตุ ณ ที่เกิดเหตุ แล้วพิมพ์รายละเอียดเหตุการณ์แล้วปริ้นสลิป นำรถไปเข้าอู่ (มาเร็ว เคลมเร็วจริงๆ) แต่เคลมดิ แทนที่เราจะต้องรอตัวแทนจากประกันมาดำเนินการให้ ซึ่งต้องรอประมาณ 15 นาทีขึ้นไป แอพ Claim di จะช่วยให้การดำเนินการเคลมเร็วขึ้น ทันเมื่อเกิดอุบัติเหตุชนกัน ก็หยิบโทรศัพท์มา shake กันระหว่าง เรากับคนที่ถูกชน ระบบจะเช็คว่ามันเกิดเหตุรถชนจริง และมีกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองอยู่จริง แล้วก็กลับบ้านได้เลย แถมทำให้รถไม่ติดด้วย และได้ภาพในสภาพที่ใกล้เคียงกับเวลาเกิดเหตุจริงๆ
คุณแจ็ค กิตตินันท์ อนุพันธ์ หัวหน้าทีม Claim di
คุณแจ็ค ได้เล่าถึงประสบการณ์หลังจากที่ทีม Claim di ได้รางวัล Digital Winner จากโครงการ Dtac Acccelarate 2014 ได้เป็นตัวแทนทีมไปแข่งขันต่อที่ประเทศนอร์เวย์ โดยมีภารกิจไปแข่งขันที่ Telenor ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ dtac งานนี้มีชื่อว่า Digital Winner ซึ่งเป็นงาน IT Forum ที่ Telenor เชิญคนทั่วโลกที่เป็น GURU ทั้งหมด มาบอกเทรนด์ว่า โลกปีหน้าจะไปต่อไปในทางไหน โดยคนที่มาฟังส่วนใหญ่มาจากคนของ Telenor และคนที่ชนะเลิศ startup 13 ประเทศ ประเทศมานั่งฟัง นำเสนองานและแชร์ประสบการณ์ ว่าเราได้พัฒนาแอพเพื่อแก้ไขปัญหาอะไรได้บ้างในประเทศนี้ โดยคนที่มาบอกเล่ากันในงานเป็นทีมงาน GURU จากบริษัทยักษ์ใหญ่ไอที เช่น Facebook , twitter , IBM และบริษัทอื่นๆที่เป็นบริษัทไอทีชื่อดังมากมาย
ตัวแทนแต่ละประเทศได้นำเสนองานประมาณ 15 นาที- ครึ่งชั่วโมง ซึ่งแต่ละเรื่องน่าสนใจและมีประโยชน์มาก โดยสิ่งที่ได้จากงานนี้คือ “เวลาทำแอพสักแอพนึง เราต้องรู้จักปัญหามันจริงๆ แล้วทำแอพเพื่อแก้ปัญหานั้น ถ้าเราไม่เข้าใจปัญหา เราก็จะพัฒนาแอพที่ไม่โดนใจ”
คุณแจ็ค ได้เล่าถึงข้อคิดสิ่งที่ได้รับจากงาน Digital Winner ที่นอร์เวย์ เพื่อนำไปพัฒนาโปรดักส์นี้ต่อคือ “ให้เรามองภาพลูกค้าว่า เราไม่ได้ทำซอฟต์แวร์แบบ Business to Business (b2b) แล้ว แต่เราจะทำ B2B2C ( Business to Business To Customer , ( B2C2G ) , Business to Business To government โดยประเด็นคือ Consumer เป็นเหตุ Social Network เป็นเหตุ เราต้องวางแผนให้ได้ว่า ทำอย่างไรให้แอพกระจายไปถึง Consumer ให้มาก แล้วดึงดูดให้ consumer ใช้แอพ เราไม่ได้มองแค่ consumer เท่านั้น เรามองถึง Partnet ประกันภัย บริษัทอู่รถยนต์ บริษัทรถด้วย และอื่นๆอีกมาก รวมถึงคนขายประกันด้วย ผู้ใช้แอพสามารถใช้งานแอพได้โดยไม่ต้องจ่ายตังค์ ทั้งนี้ Claim di หาเงินจากส่วนอื่นๆมาได้…. สิ่งที่ claimdi เก็บตังค์ประกันภัย เราไม่ได้เก็บ 500 บาท ต่อ 1 รายการ claim di ช่วยประกันภัยลดการจ่าย 450 บาท ทุกคนได้ประโยชน์ร่วมกันจากแอพนี้ แอพมีโอกาสเติบโตอย่างรวดเร็ว จาก Social และ Consumer มาเป็นตัวนำพาออกไป
ซึ่งเราแทนที่เราจะทำแอพให้กับตัวแทนประกันภัย เรากลับมาทำแอพนี้ให้ consumer ใช้โดยตรงเลย ซึ่งเมื่อก่อนการเคลม ไม่ได้มี consumer มาเกี่ยวเลย ซึ่งเมื่อก่อนตอนนั้น consumer แค่ยกหูโทรศัพท์ติดต่อประกัน แต่คราวนี้เราทำแอพ claim di ให้ consumer ใช้ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ consumer และ บริษัทประกันภัยประหยัดเวลามากขึ้น และการดำเนินการเคลมเรียบร้อย 100% ”
คุณหล่อติ้น Developer ชาวเวียดนาม และ คุณต้อม นภัทร ห่อนบุญเหิม Sale Marketing
คุณต้อง นภัทร ห่อนบุญเหิม Sale Marketing ของทีม Claim di ได้เล่าในมุมมองนักการตลาด ว่า ” จากการได้นำเสนอแอพ Claim di ในต่างประเทศ เราได้รับ feed back จาก Telenor โดยมีประเด็นที่น่าสนใจคือ เค้ายังไม่มีเลย แต่ประเทศไทยมีบริการดีเจ๋งๆแบบนี้ และก็เค้ามาถามด้วยว่า เมื่อไหร่แอพนี้จะมาทำที่ยุโรปบ้าง ทั้งนี้ Claim di มีการติดต่อประสานงานต่อเนื่องกับนักลงทุนด้วย ”
คุณหล่อติ้น Developer ชาวเวียดนาม ผู้ออกแบบและพัฒนาแอพ Claim di นี้ได้เล่าเบื่องหลังการพัฒนาแอพว่า “ตั้งแต่ออกแบบและแอพ Claim di นี้ออกมา ก็ใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ” คุณแจ็ค ก็เล่าเสริมว่า ” 2 เดือน ที่ว่านี้โหดมากครับ โดย dtac accelerate จะให้เวลาพวกเราทำ 3 เดือนโดยมีภารกิจคือ ทำแอพให้เสร็จ เอาลูกค้าเข้ามาให้ได้ แล้วหานักลงทุนให้ได้ ”
หล่อติ้น นักพัฒนาแอพชาวเวียดนาม กล่าวเพิ่มเติมว่า “เมื่อแอพเราเกิดแล้ว เราต้องพัฒนามันให้ดีขึ้นไปอีกเรื่อยๆ และมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราต้องเพิ่มอยู่ ครับ”
คุณแจ็ค ได้เล่าถึง สิ่งที่วงการStartup ที่นอร์เวย์ แตกต่างจากประเทศไทย จากมุมมองของเค้าว่า.. การเติบโตของ Start up ที่ นอร์เวย์ไม่ต่างจากคนไทยเท่าไหร่นัก แต่ว่าสิ่งที่เห็นชัดเจนคือ “คนที่ทำ Startup ในนอร์เวย์ ไม่ใช่เด็กนักศึกษาที่ลุกขึ้นมาและมาทำ แต่เป็นมีความล้มเหลว กับคนที่มีความประสบความสำเร็จบ้างแล้ว แล้วอยากจะทำสิ่งที่ตัวเองคิดว่าโครงการนี้น่าจะพลิกโลกได้ แล้วก็ทำขึ้นมา มีนักลงทุนที่เข้ามาสนใจก็มาลงทุนที่มีมูลค่าสูงกว่าเรา แล้วก็ซอฟต์แวร์ของเค้า ในการที่เข้าร่วม Telenor นั้น มันก็จะกระจายได้รวดเร็วกว่า “
“มีอันนึงที่เป็นกระแสมามากก็คือ Embeded Software คือเป็นซอฟต์แวร์เข้าอยู่ใน Hardware หลายคนเริ่มทำแล้วกลายเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจคแบรนด์รถยนต์ชื่อดัง เช่น VOLVO เป็นต้น”
คุณต้อม Sale Marketing ของทีม Claim di ได้แนะนำการใช้แอพ Claim di ว่า ” สำหรับผู้ใช้ทั่วไป หรือท่านเจ้าของรถ สามารถดาวน์โหลดแอพ Claim di บนสมาร์ทโฟนได้ฟรี ทาง App Store และ Play Store ซึ่งกรณีอยากทำประกันใหม่ เวลาคุณโทรหาประกันภัยนี้ ทางประกันภัยจะแนะนำให้คุณดาวน์โหลดแอพ claim di ทำได้เลยด้วยตัวคุณเองผ่านแอพตัวนี้ โดยนำแอพ claim di ถ่ายรูปสภาพรถที่ถูกชน และกรอกข้อมูลรายละเอียดรถแล้วส่งมาที่ประกัน ซึ่งเราสามารถทำแทนประกันภัย ที่จะส่งตัวแทนไปตรวจสภาพรถ แล้วทำรายงานไปหาประกันให้ ซึ่งต้องใช้เวลาในการรอตัวแทนประกันเดินทางมาถึง”
ผศ.ดร. ภาณุชาติ บุณยเกียรติ Project Manager ได้กล่าวถึงการให้แนวคิดกับทีมงาน Claim di ว่า “ต้องเตรียมการว่าออกแบบแอพ User Interface อย่างไร ให้ผู้ใช้งานแอพสามารถใช้งานแอพได้เอง ใช้งานง่าย เข้าใจง่ายที่สุด ที่สำคัญคือ เรื่องหลังบ้าน ทำอย่างไรให้กระบวนการพัฒนามีประสิทธิภาพ นักพัฒนาแอพต้องวางแผนทำอย่างไรให้แอพนี้เสร็จทันเวลาที่กำหนด มีซอฟต์แวร์ที่คุณภาพดี โดยนำผลสำรวจที่ได้รับ feedback จากผู้ใช้งาน มาประยุกต์ใช้”
“สิ่งสำคัญคือคนทำแอพต้องรับ feedback บ่อยๆ ไม่ใช่ทำครั้งเดียวเสร็จส่งไป..จบ มีตัวต้นแบบ และตัวทดสอบ หมั่นทดสอบแอพบ่อยๆ โดยเฉพาะทดสอบร่วมกับ ผู้ใช้จริงอย่างทีมประกันภัย และลูกค้าผู้ใช้แอพ เพื่อให้รู้ว่าแอพทำงานได้จริงมั้ย ดีแค่ไหน ปรับปรุงจุดไหนบ้าง เพื่อให้แอพสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ตอบโจทย์กับผู้ใช้” ผศ.ดร. ภาณุชาติ บุณยเกียรติ กล่าว
คุณแจ็ค หัวหน้าทีม Claim di ได้กล่าวฝากทิ้งท้ายถึงรุ่นน้องที่สนใจ Start Up รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยว่า ” ให้พยายามหาปัญหาที่พบจริงๆ ก่อนที่จะทำแอพ โดยต้องลอง research หาปัญหา แล้วดูว่ามีใครทำแอพที่ช่วยแก้ปัญหานี้ในโลกแล้วหรือยัง อย่าง Claim di ได้ค้นพบปัญหา และพบว่าปัญหานี้ยังไม่มีนักพัฒนาคนไหนทำแอพที่มาช่วยแก้ปัญหานี้เลย ก็เลยเริ่มทำ อยากให้น้องๆพยายามศึกษาเกี่ยวกับปัญหาต่างๆที่ได้จากคนทั่วไป แล้วหาทางแก้
“เรื่องที่อยากให้ฝากไว้สุดท้ายคือ เมื่อไหร่ที่นักลงทุนเข้ามาแล้วมาลงเงินกับเราแล้ว นักลงทุนมักจะมาต่างชาติ แต่โจทย์นึงที่นักลงทุนจะลงทุนกับเรานั้น …. คุณเปิดบริษัทที่สิงคโปร์แล้วหรือยัง? นี่คือคำถามที่เค้าถามก่อนเปิดประเด็นว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ ? เพราะกฎหมายสิงคโปร์คุ้มครองนักลงทุนด้วย แต่กฎหมายคนไทยคุ้มครองแค่ผู้ก่อตั้ง หรือเจ้าของผลงานเท่านั้น ยังไม่รวมถึงนักลงทุน และยังมีกติกาหลายอย่างที่นักลงทุนต่างชาติจะลงเม็ดเงินในประเทศไทย เป็นเรื่องเทคนิคลึกๆของ Finance ทำให้ผมเป็นห่วงว่า ถ้าภาครัฐไม่ลงมาดู พวกเราจะถูกชาวต่างชาติซื้อ แล้วคุณจะพูดไม่ได้เลยว่าแอพนี้ผลงานโดยบริษัทคนไทย ” คุณแจ็ค กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งหมดนี้คือการสัมภาษณ์ทีม Claim di ซึ่งได้แนวคิดดีๆและได้เห็นภาพเบื้องหลังความสำเร็จกว่าจะเป็นแอพ Claim di แอพพลิกโฉมการทำเคลมรถยนต์ ที่พัฒนาโดย Startup ไทย พร้อมต่อยอดแอพนี้สู่ระดับโลกต่อไป สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับแอพ Claim di สามารถดูได้ที่เว็บไซต์ www.claimdi.com