เมื่อช่วงค่ำคืนวันที่ 12 สิงหาคมที่ผ่านมา ก่อนเป็นข่าวดังเช้าวันนี้ในโลกสังคมออนไลน์ เมื่อ พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) กล่าวถึงการตรวจสอบข้อมูลที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงทางสื่อสังคมออนไลน์ในรายการวิทยุแห่งหนึ่ง ว่าได้ส่งทีมไปคุยกับโปรเเกรมเมอร์ไลน์ในญี่ปุ่น และได้ประสานกับ บ.ไลน์ คอร์เปอเรชั่น โดย พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ จะเดินทางไปญี่ปุ่นในสัปดาห์นี้ เพื่อทางตำรวจสามารถขอดูข้อมูลแชทด้วย โดยอ้างเพื่อป้องกันกระทบด้านความมั่นคง ผิดกฎหมาย การขัดศีลธรรมเเละความสงบเรียบร้อย
พล.ต.ต.พิสิษฐ์ กล่าวว่า “คนกดไลค์ในเฟซบุ๊กไม่ใช่เป้าหมายหลัก เเต่ขอเตือนว่าอย่ากดสนับสนุน ไม่อย่างนั้นข้อความนั้นๆ จะมีความน่าเชื่อถือขึ้น เช่น โพสต์การรัฐประหาร หากมีคนกดไลค์ 2-3 หมื่นคน โพสต์นี้ก็จะมีน้ำหนัก รวมทั้งการกดเเชร์ด้วยที่มีการกดเเชร์เเละเพิ่มเติมข้อความ เพราะมันคล้ายการระบายสีให้ภาพวาดนั้นสมบูรณ์ขึ้น โดยทั้งหมดจะพิจารณาจากการกระทำของผู้ที่กดไลค์เเละกดเเชร์”
ทางด้าน นายปรเมศร์ มินศิริ ผู้ดูเเลเว็บไซต์กระปุกดอกคอม กล่าวว่า ผู้ให้บริการต้องดูเเลลูกค้า วิธีที่ดีคือ เจ้าหน้าที่ขอหมายศาลตรวจสอบในโพสต์หรือกระทู้ตามเเอคเคานท์ที่น่าสงสัยจะดีกว่าเเละประชาชนจะยอมรับ ตนกังวลการใช้ดุลพินิจเเละกลไกการทำงานของตำรวจที่จะตรวจสอบเรื่องนี้ ยืนยันวิธีของ ปอท.ล่วงล้ำการทำงานของเอกชน ฉะนั้น ปอท.ควรประสานขอตรวจสอบเเละขอหมายศาลมาค้นตามเเอคเคานท์ที่น่าสงสัยเป็นรายกรณีดีกว่า
ทางด้านนายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคอมพิวเตอร์ กล่าวว่า การดำเนินการของ ปอท. จะต้องขอคำสั่งศาลอาญาเท่านั้น ในการดักจับข้อความ ที่ส่งผ่านไลน์ หากไม่มีการขอคำสั่งทางศาล แล้วใช้อำนาจอื่นๆ เช่น พ.ร.บ.ความมั่นคง หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 8 ที่ระบุไว้ว่า ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อดักรับไว้ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ที่อยู่ระหว่างส่งในระบบคอมพิวเตอร์ และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้น มิได้มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือเพื่อให้บุคคลทั่วไปใช้ประโยชน์ได้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนี้ผู้ที่ออกคำสั่งจะมีความผิดตามมาตรา 25 ที่ระบุไว้ว่า ข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้มาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ให้อ้างและรับฟังเป็นพยานหลักฐานตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญาหรือกฎหมายอื่น อันว่าด้วยการสืบพยานได้ แต่ต้องเป็นชนิดที่มิได้เกิดขึ้นจากการจูงใจมีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวง หรือโดยมิชอบประการอื่น
ต้องจับตาความเคลื่อนไหวของตำรวจออนไลน์ ปอท. ว่าจะสามารถดูข้อมูลโพส ใน Line ได้หรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นจริงก็เท่ากับว่าเราต้องระมัดระวังในการโพสข้อความมากขึ้น เพราะข้อมูลของเราจะไม่สามารถเป็นส่วนตัวแล้ว ตำรวจออนไลน์กลับเห็นข้อความที่เราส่งผ่าน Line ด้วย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญกฎหมาย รวมถึงเครือข่ายออนไลน์อื่นๆ ก็กำลังเคลื่อนไหวประเด็นที่อ่อนไหวนี้เช่นกัน เพราะเข้าข่ายดักฟัง และละเมิดสิทธิส่วนบุคคล โดยปัจจุบันมีคนไทยที่ใช้งานแอพ Line มากถึง 15 ล้านคน
UPDATE ทาง ปอท. โดย พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้ออกชี้แจงว่า ปอท. เฝ้าระวังการกระทำผิดในโลกของโซเชียลมีเดีย โดยจะเน้นเฉพาะเรื่องๆ หนัก 3 เรื่อง คือ การกระทำที่กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ และความผิดตามกฎหมาย และผิดศีลธรรม ซึ่งทาง ปอท. เฝ้าระวังอยู่ 4 กลุ่ม 1.ซื้อขายอาวุธโดยผิดกฎหมาย, 2.ลักลอบจำหน่ายยาเสพติด, 3.ลักลอบค้าประเวณี, 4.ละเมิดลิขสิทธิ์สินค้า โดยทาง ปอท. จะไม่ดูในส่วนของข้อมูลแชทสนทนา ของผู้ใช้Line ทั่วไป
สำหรับการตรวจสอบข้อมูล Line นั้น ทาง ปอท. มีเว็บมาสเตอร์ และอาสาสมัคร คอยตรวจสอบ และแจ้งข่าว ซึ่งขณะนี้ ปอท.ได้ประสานไปยังบริษัทผู้ให้บริการ line, Whatapps, Facebook, และYoutube ในต่างประเทศแลกเปลี่ยนข้อมูล และสามารถตรวจสอบย้อนหลัง สืบหน้าต้นตอ หาผู้กระทำผิดได้ จึงฝากเตือนผู้ที่ชอบกด Like หรือกด Share ทั้งทาง Facebook และ Social Network หากคุณกระทำการแชร์ข้อความที่กระทบความมั่นคงดังกล่าวอาจจะเข้าข่ายกระทำผิดไปด้วย
ข้อมูลจาก ครอบครัวข่าว
Update เมื่อประมาณ ช่วง 16.00น. ที่ผ่านมา ทาง LINE Corporation ได้ตอบมาว่า ยังไม่ได้รับคำขออย่างเป็นทางการจากทาง ปอท. ดังนั้น LINEจึงยังคงไม่สามารถให้ข้อมูลใดๆ ในประเด็นนี้ในตอนนี้ โดย LINE ยังคงปกป้องรักษาข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน อยู่ เช่นเดียวกันกับผู้ใช้งานประเทศอื่นๆ
ข้อมูลจาก THE NATION , แนวหน้า