กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) เผย 8-17 มีนาคมนี้ “ดาวหางแพนสตาร์” จะโคจรมาใกล้โลกและดวงอาทิตย์ ชวนคนไทยอย่าพลาดชม ย้ำมาเที่ยวเดียวไม่มาอีกแล้ว หากฟ้าใสดูตาเปล่าได้
นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่าได้มอบหมายให้สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (สทอภ.) และสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) จัดตั้งศูนย์เครือข่ายเตือนภัยพิบัติโดยใช้เทคโนโลยีอวกาศ เพื่อดำเนินการเรื่องการเฝ้าระวังภัยพิบัติจากอวกาศและผลกระทบจากอวกาศที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ในส่วนของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สดร.) รองศาสตราจารย์บุญรักษา สุนทรธรรม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ เปิดเผยว่าหลังจากเหตุการณ์อุกกาบาตตกที่รัสเซียเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาก่อให้เกิดกระแสความตื่นตัวในเรื่องวัตถุอวกาศที่มีโอกาสทำอันตรายต่อโลกแพร่หลายไปในวงกว้าง สดร. ได้มีการติดตามการโคจรของวัตถุอวกาศที่เข้ามาใกล้โลกหรืออาจมีผลกระทบต่อโลก เช่น การผ่านมาของดาวเคราะห์น้อย/ดาวหาง ผลกระทบของดวงอาทิตย์ที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ การตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์เพื่อยืนยันชนิดของวัตถุจากอวกาศ การศึกษาข้อมูลเพื่อเสนอแนวทางลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติจากอวกาศและผลกระทบจากอวกาศที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ รวมทั้งการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง
ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ กล่าวถึงรายละเอียดของดาวหางเยือนโลกในเดือนมีนาคมนี้ว่า “ดาวหางแพนสตาร์ (C/2011 L4 PANSTARRS)” จะโคจรมาใกล้ดวงอาทิตย์ ระหว่างวันที่ 8 -17 มีนาคม เข้าใกล้โลกที่สุดในวันที่ 5 มีนาคม และสุกสว่างมากที่สุดเมื่อเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดในวันที่ 10 มีนาคม สามารถสังเกตได้ตั้งแต่หลังดวงอาทิตย์ตกดินประมาณ 30 นาที หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ดาวหางจะปรากฏอยู่ใกล้ขอบฟ้าบริเวณกลุ่มดาวปลา และหากอยู่บริเวณที่ท้องฟ้ามืดสนิทปราศจากแสงรบกวนและไม่มีสิ่งบดบัง จะมีโอกาสเห็นดาวหางแพนสตาร์อยู่บนฟากฟ้าได้ด้วยตาเปล่า หรือหากใช้กล้องสองตาหรือกล้องโทรทรรศน์ช่วย ก็จะสังเกตเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ดาวหางแพนสตาร์ค้นพบโดยกล้อง Pan-STARRS บนเกาะฮาวาย ในเดือนมิถุนายนปี 2011 ปรากฏอยู่บริเวณกลุ่มดาวแมงป่องมีวงโคจรเป็นแบบไฮเปอร์โบลา จะโคจรมาใกล้โลกเพียงครั้งเดียวเท่านั้นและจะไม่กลับมาอีก จึงเป็นโอกาสเดียวที่มนุษย์จะได้เห็นดาวหางดวงนี้
ภาพถ่ายดาวหางแพนสตาร์ ในวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556
จากด้านตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศออสเตรเลีย (ภาพโดย Colin Legg)
จากการติดตามการเคลื่อนที่ดาวหางดวงนี้ นักดาราศาสตร์พบว่าในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ดาวหางแพนสตาร์ที่สังเกตได้มีหางฝุ่นสั้นและมีความสว่างปรากฏประมาณ* 4 ซึ่งนับว่าน้อยมาก จากเดิมที่คาดการณ์ว่าดาวหางแพนสตาร์น่าจะสว่างพอที่จะเห็นได้ด้วยตาเปล่าโดยง่าย แต่ปัจจุบันเมื่อดาวหางเข้าใกล้โลกมากขึ้นได้มีการศึกษาและคำนวนค่าความสว่างปรากฏ*แล้ว พบว่าอาจมีความสว่างไม่มากเท่าที่ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า ทั้งนี้คาดว่าความสว่างปรากฏจะสูงสุดที่ประมาณ 3 *ค่าความสว่างปรากฏ: ค่าตัวเลขน้อยความสว่างจะมาก ค่าตัวเลขมากความสว่างจะน้อย โดยปกติคนเราสามารถมองเห็นได้ที่ค่าความสว่างปรากฏ ตั้งแต่ 6 ลงไป
แม้ว่าดาวหางถือเป็นวัตถุในระบบบสุริยะที่จัดว่าอาจเป็นอันตรายต่อโลกได้ แต่ดาวหางมีแหล่งกำเนิดอยู่ ไกลมากๆ มีวงโคจรกว้างและมีคาบการโคจรนานมาก จึงมีดาวหางจำนวนไม่มากนักที่หลุดเข้ามาในระบบสุริยะด้านใน ดังนั้นวัตถุใกล้โลกที่พบโดยมากมักเป็นดาวเคราะห์น้อย และเหตุที่เราเห็นดาวหางได้ชัดเจน เนื่องจากดาวหางมีองค์ประกอบเป็นฝุ่น น้ำแข็งและก๊าซ เมื่อโคจรเข้าใกล้ดวงอาทิตย์จะถูกลมสุริยะเป่าทำให้เกิดหางยาว เกิดแสงฟุ้ง สามารถสังเกตได้ง่ายกว่าดาวเคราะห์น้อยซึ่งเล็กและสะท้อนแสงได้น้อย
ดร.ศรัณย์ ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “ถึงจะไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อโลก แต่นักดาราศาสตร์ก็ต้องเก็บข้อมูลเพื่อศึกษาวิจัยวัตถุที่มาใกล้โลกเหล่านี้ เพื่อความเข้าใจและความรู้ใหม่ๆ ตลอดเวลา จึงขอเชิญชวนประชาชนหาข้อมูลเรื่องนี้ไว้ ไม่อยากให้ตื่นตระหนก ดาวหางเป็นเพียงปรากฏการณ์ธรรมชาติบนท้องฟ้าที่น่าสนใจและหาชมได้ยากเท่านั้น หากพลาดชมดาวหางแพนสตาร์ในครั้งนี้ ในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ยังมี “ดาวหางไอซอน” โคจรมาใกล้โลก ทั้งนี้นักดาราศาสตร์คาดการณ์ว่าจะเป็นดาวหางที่สว่างที่สุดดวงหนึ่งในศตวรรษเลยทีเดียว”
รายละเอียดเพิ่มเติมของ ดาวหางเพนสตาร์ สามารถอ่านได้ที่เว็บไซต์ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) www.narit.or.th