รัฐบาล ผุดโครงการใหม่ “ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในกระบวนการยุติธรรม : e-Court” หวังสร้างความคล่องตัว ประหยัด สะดวกรวดเร็ว โปร่งใส ในกระบวนการยุติธรรม โดยได้จัดงานประชุมวิชาการ เรื่อง “e-Court กับนัยสำคัญทางเศรษฐกิจ”ขึ้น เมื่อวันที่ 28 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยท่าน นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เดินทางมาปฏิบัติหน้าที่เป็น ประธานในพิธี แทน นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมตรี ที่เดินทางไปหัวหินเข้าเฝ้าในหลวง ณ วังไกลกังวล
ศาล อิเล็กทรอนิกส์ e-Court คืออะไร ? ทำไมต้องมี ?
แม้ว่าผู้คนจะรู้สึกว่าการนำข้อพิพาทขึ้นสู่ศาลมีความยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายมาก จึงหลีกเลี่ยงที่จะไม่เป็นคดีความ และหากกรณีใดที่พูดคุยกันได้ก็จะทำการประนีประนอมกันไป แต่ในปีหนึ่งๆ ก็ยังมีเรื่องราวข้อพิพาทหรือคดีความฟ้องร้องขึ้นสู่ศาลยุติธรรมอีกนับล้านคดี ซึ่งแต่ละคดีก็จำเป็นต้องมีการบันทึกเรื่องราวและพยานหลักฐานต่างๆ ผ่านเอกสารทั้งจากผู้ฟ้องร้องและผู้ถูกฟ้องร้องเพื่อให้ผู้ที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม ดังนั้น สภาพการทำงานของศาลทั่วไปหรือที่เห็นในประเทศไทย ณ ปัจจุบันนี้ จึงเต็มไปด้วยเอกสารจำนวนมาก ทั้งที่กองอยู่บนโต๊ะทำงาน อยู่ในตู้เก็บเอกสาร หรืออยู่ในกล่องเก็บเอกสารที่เก็บไว้ในคลังเอกสารส่วนกลาง
ดังนั้นการแก้ปัญหานี้ สามารถทำได้โดยการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ ที่เรียกว่า Electronic Court หรือ e-Court หรือในบางประเทศก็เรียกว่า High-Tech Court หรือ Technology Court ซึ่งก็คือระบบศาลอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังมีความเข้าใจสับสนว่าระบบศาลอิเล็กทรอนิกส์นี้หมายถึงเฉพาะรูปแบบของศาลที่มีระบบการรับฟังหรือพิจารณาพยานหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ (electronic evidence) เท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ระบบศาลอิเล็กทรอนิกส์จะมีขอบเขตที่กว้างกว่านั้น
โดยสามารถอธิบายออกเป็นระบบต่างๆ ที่สำคัญ 3 ระบบ คือ
- ระบบรับคำฟ้องทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Filing System)
- ระบบบริหารจัดการคดี (Case Management System)
- ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในห้องพิจารณาคดี (Court Room System)
โดยระบบหลักทั้ง 3 จะเป็นการเชื่อมโยงกันทั้งระบบส่วนหน้า (Front Office) ระบบส่วนหลัง (Back Office) ของสำนักงานศาล และระบบการพิจารณาคดีรวมถึงอาจมีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างศาลต่างๆ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ด้วย เพื่ออำนวยให้การรับส่งหรือสืบค้นข้อมูลและการพิจารณาคดีดำเนินไปได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
ต่อมา นาวาอากาศเอก อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวปาฐกถา หัวข้อ “e-Court กับนัยสำคัญทางเศรษฐกิจ” โดยท่านได้เล่าถึง บทบาท 2 หน่วยงานที่ รมต.ไอซีที มีบทบทเป็นกรรมการอยู่ คือ ประธานกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ กับ รองประธานคณะกรรมการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ
โดย สำนักงานคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ นี้มีหน้าที่ ส่งเสริมเรื่องการทำธุรกรรมออนไลน์ รวมไปถึง e-government ของภาครัฐ e-commerce ภาคเอกชน โดยคณะกรรมการมีหน้าที่เสนอแนะกฎหมายลูกและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ผลักดันในเรื่องมาตรฐาน และมาตรการความมั่นคงปลอดภัยของไอทีด้วย เพื่อช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นช่วงการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ทำให้การทำธุรกรรมออนไลน์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น มีอำนาจในการกำกับดูแลธุรกิจบริการ ที่มีความเสี่ยง โดยปัจจุบัน ได้ดูแลกำกับเกี่ยวกับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งธนาคารพาณิชย์ และไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ด้วย โดยกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ชุดนี้จะเฝ้าติดตามตัวเลขการทำธุรกรรมออนไลน์ อย่างใกล้ชิด
มีตัวเลขที่น่าสนใจคือพบว่า ปี 2554 มีการทำ E Commerce 608 พันล้านบาท และปีต่อมา ปี 2555 ตัวเลขการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่รายงานต่อธนาคารแห่งประเทศไทย ปรากฏว่ามีมูลค่าสูงถึง 688 ล้านล้านบาท
ประเทศไทยเรามีกฎหมายของศาล และมีกฎหมายเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วยที่ใช้ควบคู่กับกฎหมายของศาล ในทางปฏิบัติ ส่วนใหญ่จะเป็นเกี่ยวกับธนาคาร ธุรกิจรายใหญ่ และหน่วยงานของรัฐบาล
เมื่อพิจารณาสาระสำคัญของกฎหมายทางอิเล็คทรอนิกส์นี้ กฎหมายนี้สามารถตอบโจทย์ สร้างความเชื่อมั่น และมีความพร้อมมั่นใจในเอกสารอิเล็คทรอนิกส์มาก ด้วยการกำหนดให้การดำเนินการใดๆก็ตาม ที่ก่อให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายของข้อมูลอิเล็คทรอนิกส์ ไม่ว่าข้อมูลจะแสดงผลบนหน้าจอ หรือเอกสารที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ ให้หนังสัญญานั้นให้เหมือนเอกสารกระดาษ ใช้ได้กับทุกศาล รวมไปถึงการรักษาเอกสาร ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายเรื่องกระดาษได้อย่างมาก และสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย
แต่ปรากฏว่าประเทศไทยเองเรายังต้องทำทั้ง 2 อย่างพร้อมๆกันทั้งระบบกระดาษ และระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งพบปัญหาถึง 5 เรื่องด้วยกันคือ
- 1 ) เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ที่นำไปใช้ ในศาลนั้นมีผลทางกฎหมายหรือไม่ ? อย่างไร ?
- 2 ) เวลาไปศาล เรายังต้องใช้เอกสารกระดาษเป็นพยานหลักฐานในชั้นศาล เพราะการพิจารณาคดีนั้น ยังไม่มีระบบที่รองรับพยานหลักฐานทางอิเล็คทรอนิกส์ ที่สมบูรณ์
- 3 ) ยังไม่มีกฎหมายให้ทำลายกระดาษ ซึ่งไม่แน่ใจว่า แม้ว่าการทำสัญญาเป็นเอกสารกระดาษ แล้วก็แปลงเป็นเอกสารอิเล็คทรอนิกส์ในภายหลังแล้ว สามารถทำลายเอกสารกระดาษ ได้แล้วหรือยัง ?
- 4 )เอกสารที่ Print Out เป็นเอกสารต้นฉบับหรือไม่ ?
- 5 )มีการป้องกันเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างไร ?
จึงเป็นที่มาของการกำหนดวิธีการ ที่เชื่อถือได้ ด้วยกฎหมายธุรกรรมหลายมาตรา เพื่อลดความเสี่ยง ลดปัญหาการแฮคระบบ และกำหนดมาตรฐานเรื่องที่สำคัญเช่น มาตรฐานในการแปลงเอกสารกระดาษเป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ และมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ ทำให้การทำธุรกรรมการเงินมีสภาพคล่องมากขึ้น
ส่วนอีกบทบาท ที่ รมต.ไอซีที ทำภารกิจอยู่ คือ รองประธานคณะกรรมการความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ซึ่งเป็นคณะกรรมการระดับนโยบาย มีหน้าที่กำหนดนโยบายที่จะรับมือภัยคุกคามด้านระบบไอทีต่างๆ เพราะการโจมตี ภัยคุกคาม มีผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของเอกสารอิเล็กทรอนิกส์
สิ่งที่ดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้มีการสร้างเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ปลอม เช่น มีการฝังระบบเข้ารหัส ในเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อกันการปลอมแปลงเอกสาร และสามารถตรวจสอบภายหลังได้ว่า มีแอบแก้ไขหรือไม่
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาระบบ e-court นี้ต้องเตรียมโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ใช้ไอทีด้วย และเตรียมมาตรการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการการเชื่อมโยงข้อมูล มาตรการยืนยันตัวบุคคล มาตรการด้านความมั่นคงปลอดภัย มาตรการในการดูแลข้อมูล ซึ่งต้องเป็นมาตรฐานสากล ที่ทั่วโลก ประชาชนยอมรับ และสร้างองค์ความรู้ความเข้าใจ โดยเฉพาะด้าน Technical ซึ่ง และองค์กรต่างๆที่ทำงานร่วมกับศาล ต้องมีความพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ซึ่งรัฐมนตรีกระทรวงไอซีที ยินดีส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนา e-court ที่จะสามารถสร้างความเชื่อมั่น เกิดประโยชน์ต่อประชาชน และส่งผลโดยตรงทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นด้วย เหมือน 3 ประเทศ ที่ได้ทำ e-court แล้วประสบความสำเร็จก่อนหน้านี้
ต่อมา มีพิธีลงนามความร่วมมือ MOU “การพัฒนาระบบศาลให้เป็นศาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Court) กับเครือข่ายความร่วมมือ อาทิ สำนักงานศาลยุติธรรม , สำนักงานศาลปกครอง , สำนักงานอัยการสูงสุด , สำนักงานตำรวจแห่งชาติ , กรมบังคับคดี , กรมราชทัณฑ์ , สพธอ. และ สภาทนายความ
โดยจากการให้สัมภาษณ์ของ รมต.ไอซีที และ ท่านผู้อำนวยการ สพธอ. ได้ข้อมูลว่า “โครงการระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในกระบวนการยุติธรรม : e-Court ” หรือศาลอิเล็กทรอนิกส์นี้ คาดว่าระบบจะสมบูรณ์ภายใน 5 ปีข้างหน้า