ในช่วง 2-3 ปีมานี้ รถตู้โดยสารสาธารณะนั้นมีจำนวนมากขึ้น ข่าวอุบัติเหตุเกี่ยวกับรถตู้ก็มีอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งสาเหตุส่วนมากก็จะเกิดจากการขับรถที่เร็วเกินกำหนด เมื่อหลายคนกังวัลเรื่องความปลอดภัยในการใช้บริการ ทำให้กรมขนส่งทางบกได้ริเริ่มโครงการติดตั้งระบบ RFID เพื่อตรวจจับความเร็วรถตู้โดยสารสาธารณะขึ้นมา ซึ่งได้ทำการติดตั้งกับรถที่มีการจดทะเบียนอย่างถูกกฏหมาย โดยมีจุดประสงค์เพื่อลดอุบัติเหตุ และสามารถใช้ได้จริงแล้วในเวลานี้
RFID ย่อมาจากคำว่า Radio Frequency Identification มีลักษณะเป็นป้ายอิเล็กทรอนิกส์ (RFID Tag) ที่สามารถอ่านค่าได้โดยอาศัยคลื่นวิทยุ เพื่อตรวจติดตามและบันทึกข้อมูลที่ติดอยู่กับป้าย ซึ่งนำไปฝังหรือติดอยู่กับวัตถุต่างๆเช่น บัตรเข้าออกสำนักงาน บัตร ATM เป็นต้น สามารถอ่านข้อมูลได้โดยไม่ต้องใช้การสัมผัส ทนต่อความเปียกชื้น แรงสั่นสะเทือน และสามารถอ่านข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูง ด้วยความสามารถดังกล่าวนี้ จึงได้มีการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในการตรวจจับความเร็วของรถตู้โดยสาธารณะ
วิธีการทำงานนั้นจะใช้ 2 อุปกรณ์ทำงานร่วมกัน คือ RFID Tag ที่จะติดอยู่บริเวณโคมไฟหน้ารถ และบริเวณเครื่องหมายการเสียภาษีในรถ และใช้ RFID Reader ซึ่งเป็นอุปกรณ์อ่าน/เขียนข้อมูลความเร็วสูง สามารถอ่านและเขียนข้อมูลได้ขณะที่รถวิ่ง ซึ่งได้ถูกติดตั้งในเส้นทางที่รถตู้วิ่งผ่าน เมื่อรถตู้วิ่งผ่านเครื่อง RFID Reader จากจุด A ไปจุด B เครื่องก็จะทำการคำนวณความเร็วเฉลี่ยของรถที่วิ่ง โดยคำนวณจากระยะทางที่รถวิ่งผ่านจุดอ่าน A ถึงจุดอ่าน B หารด้วยเวลาเดินทางทั้งหมดจากจุดอ่าน A ถึงจุดอ่าน B ค่ะ เมื่อคำนวณเสร็จแล้วก็จะส่งข้อมูลกลับมาที่ศูนย์ควบคุม
ภายในศูนย์ควบคุมก็จะมีจอที่แสดงข้อมูลของรถตู้ทุกคันที่ได้ทำการติดตั้งระบบ หากรถตู้คันไหนขับเร็วเกินกำหนด ก็แสดงขึ้นบนจอทันที โดยจะแสดงหมายเลขทะเบียนรถ ความเร็วที่วิ่ง รวมทั้งเส้นทางที่รถวิ่งอยู่ในขณะนั้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็จะส่งจดหมายแจ้งไปยังผู้ประกอบการและผู้ขับให้มารับบทลงโทษต่อไป นอกจากนี้ในห้องควบคุมยังมีจอแสดงภาพจากกล้อง LPR Camera ซึ่งจับภาพรถที่วิ่งตู้ที่วิ่งผ่านบนเส้นทางในจุดต่างๆอีกด้วย
ในส่วนของบทลงโทษ ผู้ขับรถจะมีโทษ ดังนี้ ครั้งที่ 1 ปรับ 5,000 บาท กระทำผิด ครั้งที่ 2 ภายใน 3 เดือน นับแต่กระทำผิดครั้งแรกจะถูกลงโทษปรับ 5,000 บาท และพักใช้ใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถ 30 วัน และหากกระทำผิด ครั้งที่ 3 ภายใน 6 เดือน นับแต่กระทำความผิดครั้งแรก จะถูกลงโทษปรับ 5,000 บาท และเพิกถอนใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถ ส่วนผู้ประกอบการขนส่งจะถูกลงโทษปรับ ครั้งที่ 1 จำนวน 5,000 บาท ครั้งที่ 2 ปรับ 10,000 บาท พร้อมถอนรถออกจากการประกอบการ
ด้วยบทลงโทษเช่นนี้ คาดว่าจะทำให้ทั้งผู้ขับและผู้ประกอบการปฏิบัติตามกฏหมายด้วยการไม่ขับรถเร็วเกินกำหนด ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้บริการรู้สึกปลอดภัยและยังช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้มากขึ้น ในส่วนของผู้ใช้บริการเองก็ควรจะใช้บริการรถตู้โดยสารสาธารณะที่มีการจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้ตนเองด้วยเช่นกัน