แถลงผลการพิจารณากรณีบีเอฟเคทีฯทำสัญญาให้เช่าเครื่องและอุปกรณ์ระบบ CDMA ๒๐๐๐ – ๑X กับ บมจ.กสท.โทรคมนาคมแล้ว ที่สุด บอร์ด กทค.มีมติว่ายังไม่มีเหตุผลสนับสนุนเพียงพอที่น่าเชื่อได้ว่ามีมูลความผิดที่จะนำบริษัท บีเอฟเคทีฯ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญา
ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.)ได้พิจารณารายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของบริษัทบีเอฟเคทีฯ และรายงานผลการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมของคณะทำงานฯความเห็นของเลขาธิการ กสทช.พร้อมซักถามรายละเอียดผู้เกี่ยวข้อง ตลอดจนพิจารณาข้อกฎหมายในประเด็นต่างๆอย่างละเอียดทั้งมาตรา๔แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ รวมถึงพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. ๒๕๔๒
เนื่องจากการตีความ มาตรา ๔ ดังกล่าว จะมีผลต่อการได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมต่อ กสทช. ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน และการฝ่าฝืนบทบัญญัติในมาตรา ๗ ด้วย และเมื่อพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญประกอบร่าง พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ…..ซึ่งวุฒิสภาได้ลงมติให้ความเห็นชอบหลักการแห่งร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว ประกอบกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาได้วินิจฉัยเรื่องดังกล่าวเสร็จสิ้นเมื่อเดือนเมษายน 2553 ที่ผ่านมา
ที่ประชุมจึงมีความเห็นว่า ยังไม่มีเหตุผลสนับสนุนเพียงพอที่น่าเชื่อได้ว่ามีมูลความผิดที่จะนำบริษัท บีเอฟเคทีฯ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญา เนื่องจากการดำเนินการของบริษัท บีเอฟเคทีฯ เป็นเพียงการให้เช่าใช้เครื่องและอุปกรณ์โทรคมนาคมเฉพาะแก่บริษัท กสทฯเพียงรายเดียวเท่านั้นโดยมิได้เป็นผู้ให้บริการด้านกิจการโทรคมนาคมแก่บุคคลอื่นใดจึงไม่ใช่การประกอบกิจการโทรคมนาคมตามความหมายของ การประกอบกิจการโทรคมนาคม อย่างไรก็ตาม กสทช.จะต้องวางแนวทางให้เกิดความชัดเจนและเข้าไปกำกับดูแลในการดำเนินการในลักษณะดังกล่าวเพื่อเป็นการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะและการแข่งขัน โดยเสรีอย่างเป็นธรรม รวมทั้งประโยชน์ของผู้ใช้บริการภายใต้ขอบเขตอำนาจหน้าที่
ทางสำนักงาน กสทช. จะได้เร่งดำเนินการยกร่างหลักเกณฑ์เสนอที่ประชุมกทค.พิจารณาภายใน๓๐วันเพื่อให้การดำเนินกิจการให้เช่าเครื่องและอุปกรณ์วิทยุคมนาคมเพื่อให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในลักษณะดังกล่าวของบุคคลใดๆ เข้ามาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช ต่อไป ด้านพันเอก ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ กล่าวว่า “จากมติเรื่อง BFKT ของ กทค. จะทำให้วงการอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของไทยดีขึ้น โดย
- จะทำให้เกิดความชัดเจนแยกแยะว่าสิ่งใดทำได้ สิ่งใดทำไม่ได้
- นำสิ่งที่ไม่อยู่ในระบบเข้ามาอยู่ภายใต้การกำกับดูแล
- สอดคล้องกับแนวทางตีความกฎหมายของกฤษฎีกาและสอดคล้องกับแนวทางสากลตามหลักการกำกับดูแลสมัยใหม่ เข้าไปคุมเท่าที่จำเป็น…. แต่ใครจะเลียนแบบกรณีนี้จะต้องรับความเสี่ยงเอง เพราะ กทค.จะออกหลักเกณฑ์ดึงการดำเนินการลักษณะนี้เข้ามาอยู่ในระบบเพื่อเป็นการเสริมเขี้ยวเล็บให้กฎหมายที่มีอยูในปัจจุบันเข้มแข็งข้ึน และเมื่อประกาศหลักเกณฑ์ใหม่แล้วทั้ง BFKT และใครก็ตามที่ดำเนินการลักษณะเดียวกันจะต้องเข้ามาอยู่ในระบบ”