ขอขอบคุณบทความจาก คุณคงเดช กี่สุขพันธ์ (@kafaak) จากบล๊อก kafaakblog
ด้วยโลกของข่าวสารในยุค Social Network ที่ความไวในการนำเสนอข่าวก็เพิ่มมากขึ้น การเผยแพร่ข่าวเป็นไปได้รวดเร็วขึ้น ปัญหาก็ตามมา นั่นคือ เราจะแยกแยะระหว่างข่าวที่ถูกต้อง น่าเชื่อถือ กับข่าวที่บิดเบือน ไม่เป็นความจริง ไม่มีความน่าเชื่อถือได้อย่างไร? ในมหาสมุทรข่าวสารอันกว้างใหญ่อย่างโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กนี้
ก่อนอื่น.. ลอง Google ดูข่าวนั้นๆ ก่อน ถ้าข่าวดังจริง ต้องค้นเจอ!!
ถ้าข่าวที่เราได้ทราบมาเป็นข่าวจริง มันย่อมไม่ถูกนำเสนอโดยเว็บไซต์เว็บไซต์เดียวแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าข่าวนั้นเป็นข่าวที่เป็นกระแสฮือฮา รับรองว่าไม่มีทางที่ค้นหาด้วย Google ไม่เจอแน่นอน
วิธีการค้นหาด้วย Google ก็ไม่ยากเลยครับ ใช้ภาษาไทย หรือ ภาษาอังกฤษก็ได้ ค้นหาด้วย Keyword หลักๆ ของข่าวนั้นๆ เช่น จะค้นหาว่าข่าว Samsung เปิดตัว Galaxy Note 2 จริงหรือไม่ ก็แค่พิมพ์ว่า “Samsung reveal Galaxy Note 2″ หรือ “ซัมซุง เปิดตัว แกแล็กซี่โน้ต 2″ ก็ได้ ข่าวดังๆ แบบนี้ ยังไงก็เจอ
ทว่า … ผลการค้นหาด้วย Google ไม่ใช่เครื่องยืนยันว่าข่าวนั้นน่าเชื่อถือ 100% … ผมเพียงแค่ต้องการสื่อว่า ถ้าข่าวมันมีมูล มันต้องค้นด้วย Google เจอ ถ้าหาไม่เจอเลยนี่ ให้คิดไว้ก่อนเลยว่าข่าวนั้นไม่น่าเชื่อถือ … แต่ข่าวที่ค้นด้วย Google เจอนั้น อาจไม่ใช่ข่าวที่น่าเชื่อถือทั้งหมด
ดูอย่างกรณีของข่าวที่ว่า Samsung จ่ายเงินค่าเสียหายให้ Apple จำนวนพันล้านเหรียญเป็นเหรียญ 5 เซ็นต์ นี่ … ผลการค้นหาส่วนใหญ่เป็นการนำเสนอข่าวลวง มีน้อยอันที่จะเป็นข่าวที่รายงานเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดครับ จึงเป็นที่มาว่าเราต้องพิจารณาจากหลายๆ ส่วนประกอบกันครับ …
ต้องดูก่อนว่าข่าวสารนั้นมาจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือแค่ไหน?
ปกติแล้วข่าวที่เราสามารถเชื่อได้อย่างสนิทใจที่สุด คือข่าวที่เราได้เป็นผู้ประสบเองโดยตรง แต่มันจะมีซักกี่ข่าวล่ะที่จะเป็นแบบนั้น ส่วนใหญ่แล้วเราจะได้ข่าวสารมาจากแหล่งข่าวอื่นๆ เช่น หนังสือพิมพ์ เว็บไซต์ วิทยุ โทรทัศน์ หรือแม้แต่ Social Media ต่างๆ อย่าง Facebook, Twitter อะไรแบบนี้ ซึ่งเราก็ไม่มีเวลา และ ทรัพยากรมากพอที่จะไปพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของข่าวทั้งหมดที่เราได้รับแน่ๆ
ดังนั้น สิ่งแรกที่จะช่วยให้เรามั่นใจได้ว่าข่าวนั้นน่าเชื่อถือหรือไม่ ก็คือ แหล่งข่าวที่นำเสนอข่าวนั้น น่าเชื่อถือมากเพียงใดครับ เช่น หากเป็นเว็บข่าวยักษ์ใหญ่ในต่างประเทศอย่าง CNN, NBC, Reuters ฯลฯ หรือในประเทศ เช่น The Nation, Bangkok Post, ไทยรัฐ, เดลินิวส์, คมชัดลึก ฯลฯ แบบนี้ก็อาจบอกได้ว่าเป็นข่าวที่น่าเชื่อถือในระดับหนึ่ง เพราะแหล่งข่าวเหล่านี้ จะมีกระบวนการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข่าวที่มานำเสนออยู่แล้วในระดับหนึ่ง
สำหรับเว็บข่าวสมัครเล่น หรือ บล็อกเกอร์ต่างๆ… ให้ไปดูที่ข่าวอ้างอิง!!
เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็เป็นเจ้าของเว็บข่าวได้ครับ แค่เช่าโฮสต์ (ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้แพงมาก) แล้วก็ดาวน์โหลดโปรแกรมจัดการเนื้อหา (Content Management System หรือ CMS) อย่าง Joomla, Drupal หรือ WordPress มาติดตั้งฟรีๆ ก็สามารถทำเว็บข่าวได้แล้ว หรือบางคนอาจจะอยู่ในรูปแบบของบล็อก … จุดเด่นของเว็บข่าวสมัครเล่นเหล่านี้ก็คือ สำนวนคำนั้นดูใกล้ตัวเรามากกว่า เพราะไม่ต้องเจอกับข้อกำหนดหรือข้อบังคับเหมือนพวกสำนักข่าวใหญ่ๆ และบ่อยครั้งที่เว็บเหล่านี้ก็อาจจะมีการใส่ความเห็นเข้าไปในตอนท้ายของข่าวด้วย จึงทำให้คนจำนวนไม่น้อย ชอบที่จะอ่านข่าวในแบบนี้ (ได้ทั้งข่าว ได้ทั้งความเห็นและการวิเคราะห์)
จุดสำคัญสำหรับการพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของเว็บข่าวประเภทนี้ ก็คือการอ้างอิงแหล่งที่มาของข่าวครับ เราต้องย้อนกลับไปดูที่ต้นทางว่าแหล่งที่มาของข่าวนั้นน่าเชื่อถือแค่ไหน? และหากเป็นการแปลข่าวมา อาจต้องยอมเสียเวลาซักหน่อย เพื่อดูว่าในภาพรวมนั้น ข่าวที่แปลมานั้น ถูกต้องแค่ไหน เพราะบางทีแปลข่าวมาไม่ถูกต้อง แต่พยายามทำให้ดูน่าเชื่อถือด้วยการลิงก์ไปยังข่าวต้นฉบับที่น่าเชื่อถือ (แต่เนื้อหาข่าวเป็นคนละเรื่อง) ก็มี
อย่างกรณีศึกษาที่ผมเคยเจอมา ก็คือกรณีที่มีคนไปโพสต์ไว้ในเว็บบอร์ด เรื่องที่ว่าสำนักข่าว BBC News ของอังกฤษออกมาแฉว่าประธาน AIBA นั้นเป็นบิดาบุญธรรมของ Zou Shiming คู่ชกในรอบชิงของ แก้ว พงษ์ประยูร นักชกมวยสากลสมัครเล่นจากไทย … ซึ่งมีการลิงก์ไปยังหน้าเว็บข่าวภาษาอังกฤษของ BBC News จริงๆ และมีการแปลเนื้อหาข่าวนั้นอย่างถูกต้องมาส่วนหนึ่ง (เรื่องที่ประเทศเบรารุสออกมาแฉคณะกรรมการ AIBA ให้ BBC News) แต่ก็มีเนื้อหาส่วนที่มั่วนิ่มมา คือ ประธาน AIBA เป็นพ่อบุญธรรม Zou Shiming มาด้วย
กรณีแบบนี้ ถ้าเราไม่ไปอ่านข่าวต้นฉบับบ้าง อาจโดนหลอกให้หลงเชื่อได้เลยทีเดียว
แต่ถ้าอ่านภาษาอังกฤษไม่ออกจริงๆ อย่าเพิ่งเชื่อข่าวในทันที ลองอ่าน Comment ของคนอื่นๆ ก่อน
หากภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง ทำยังไงล่ะทีนี้? ก็มีทางออกอยู่บ้างครับ นั่นคือ อย่าเพิ่งปักใจเชื่อข่าว ให้รอคนมาอ่านแล้วคอมเม้นต์กันเยอะๆ ก่อน จากนั้นแยกพวกความเห็นแบบพวกที่ไม่ทำอะไร เอาแต่ด่าเออออไปตามน้ำของข่าว แล้วลองสังเกตดูว่ามีใครตั้งข้อสงสัยกับความน่าเชื่อถือของข่าวหรือไม่?
อย่างกรณีศึกษา ข่าวประธาน AIBA มั่วๆ ที่ว่านี้ หากเราเลื่อนหน้าเว็บลงไปอ่านคอมเม้นต์อื่นๆ เราจะเห็นว่ามีบางคอมเม้นต์ตั้งข้อสงสัยถึงความน่าเชื่อถือของข่าว และบางคนนั้นอาจอ่านภาษาอังกฤษคล่อง และวิจารณ์ความน่าเชื่อถือของข่าวด้วย
ตระหนักเอาไว้เสมอว่าบางครั้งเว็บดังก็ผิดกันได้ ควรตรวจสอบข่าวจากหลายแหล่งควบคู่ด้วย
นับว่าการแข่งขันในการนำเสนอข่าวมันยิ่งมากขึ้น แต่เมื่อทุกอย่างต้องนำเสนออย่างรวดเร็ว โอกาสในการตรวจสอบเนื้อหาก็น้อยลง โอกาสที่จะรายงานข่าวผิดพลาดก็มากขึ้น … อย่างกรณีข่าวหลอกๆ ที่ว่า Samsung จ่ายค่าเสียหายในคดีฟ้องร้องสิทธิบัตรให้ Apple 1 พันล้านเหรียญสหรัฐเป็นเหรียญ 5 เซ็นต์ล้วนๆ เนี่ย ขนาดเว็บใหญ่ๆ อย่าง The Verge ยังเผลอเชื่อ แล้วเอามารายงานด้วย (แต่ตอนนี้ The Verge ลบข่าวนั้นออกไปแล้ว)
เผื่อใครไม่ทราบ … (30 สิงหาคม 2555) คณะลูกขุนได้ตัดสินคดีฟ้องร้องระหว่าง Apple กับ Samsung แล้ว โดยว่า Samsung ผิดจริง และต้องจ่ายค่าเสียหายให้ Apple 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ แต่คดียังไม่ถือว่าสิ้นสุดครับ เพราะศาลยังไม่ได้พิพากษา ต้องรอ 20 กันยายน 2555 ครับ ศาลเขานัดฟังคำพิพากษาไว้ ดังนั้น Samsung จะมาจ่ายค่าเสียหายก่อนทำไม?
กรณีแบบนี้ แนะนำลองติดตามข่าวทำนองเดียวกันจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถืออื่นๆ ดูด้วย เพราะหากมันเป็นข่าวจริง และ ข่าวดัง เว็บไซต์ใหญ่ๆ ไม่มีทางไม่นำมารายงานแน่นอน ดังนั้น สมมติว่าคุณเจอข่าวไอทีที่ไม่แน่ใจว่าจริงหรือไม่ ก็ลองเปิดเว็บข่าวไอทีชื่อดังซัก 5 เว็บ ดูว่าทั้ง 5 เว็บนี้มีรายงานข่าวนี้หรือไม่ อย่างไร ก็น่าจะพอเดาได้ว่าน่าจะเชื่อถือได้ซักกี่เปอร์เซ็นต์ละครับ
ถ้ายังรู้สึกแปลกๆ ว่าข่าวจากเว็บที่น่าเชื่อถือนั้นไม่น่าเชื่อถือ ลองย้อนกลับไปดูในอีกวันให้หลัง ดูว่ามีอัพเดตอะไร?
ถ้าเกิดพยายามทุกวิถีทางแล้ว ทุกอย่างยังไปในทิศทางเดียวกันคือ ข่าวนี้อาจเป็นจริง เพราะหลายๆ เว็บไซต์ที่เราเชื่อถือนำเสนอข่าวนี้ (เช่น ข่าว Samsung ปลอมนี่แหละ เพราะเชื่อกันเป็นตุเป็นตะกันใหญ่) แต่สัมผัสที่ 6 (ประมาณ ริว จิตสัมผัส) บอกกับเราว่า ข่าวนี้มันไม่น่าเชื่อถือ … ผมแนะนำให้อย่าเพิ่งเชื่อ จากนั้นรออีกซัก 1-2 วัน แล้วลองย้อนกลับไปดูข่าวเดิมอีกครั้ง เราอาจจะได้เห็นการอัพเดตเพิ่มเติม
อย่างกรณีข่าว Samsung ปลอมๆ ที่ว่านี้ เว็บ Sanook.com ก็ได้มีการอัพเดตให้ได้ทราบกันว่า ข่าวนี้น่าจะเป็นข่าวโกหกนะครับ (จริงๆ ข่าวนี้พิสูจน์ได้อยู่แล้วว่าโกหก เพราะศาลเขายังไม่ได้พิพากษาเลย เป็นแค่คำตัดสินจากคณะลูกขุนเท่านั้นเอง แล้วใครเขาจะไปจ่ายเงินกัน … นอกจากนี้ คิดหรือว่า Samsung จะไม่ขออุทรณ์?!?)
แต่ตรงนี้ผมก็มีคำแนะนำเว็บไซต์ข่าวเกี่ยวกับการนำเสนออัพเดตเพื่อแก้ไขข่าวที่รายงานผิดนะครับ
- อย่าลบข่าวที่รายงานผิดทิ้งทันที เพราะสุดท้ายมันอาจถูกคนอื่นนำไปรายงานต่อเป็นทอดๆ แล้ว … ที่ควรทำคือการโพสต์อัพเดตเพื่อแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด ให้คนเขาเข้าใจถูกต่างหาก
- การอัพเดตเนื้อหากรณีที่รายงานผิดแบบนี้ ควรจะเอาไว้ด้านบนก่อนที่คนเขาจะอ่าน มากกว่าให้อ่านไปจนจบ แล้วเอาไว้ซะล่างสุด เพราะมีโอกาสไม่น้อยที่คนจะไม่ได้อ่านครับ
แล้วข่าวจาก Social Media ล่ะ จะเชื่อถือได้ยังไง?
เดี๋ยวนี้คนเราใช้งาน Social Media เพื่อติดตามข่าวสารแล้วด้วยเช่นกัน … นักข่าวจำนวนไม่น้อย ที่ใช้ Social Media ในการเผยแพร่ข่าวสารของตน ซึ่งตรงนี้ก็คล้ายๆ กับเว็บไซต์ข่าวครับ คือ ถ้านักข่าวเป็นคนที่มีความน่าเชื่อถือ ข่าวที่พวกเขาโพสต์ก็ดูมีความน่าเชื่อถือตามมาด้วย แต่ก็คือในระดับหนึ่ง ทั้งนี้เพราะความสามารถในการตรวจสอบความถูกต้องของข่าวสารของนักข่าวคนหนึ่งนั้น ก็มีในระดับหนึ่ง อาจยังไม่เทียบเท่าเว็บไซต์
เพียงแต่ว่า ข่าวจำนวนไม่น้อยที่นักข่าวนำเสนอ เป็นข่าวที่นักข่าวท่านนั้นๆ ได้ไปสืบเสาะหามาเอง (เช่น ข่าวกรณีการประมูล 3G ในประเทศไทย ที่นักข่าวสายไอทีรายงานผ่าน Twitter เป็นต้น) ถ้าเป็นแบบนี้ก็มีความน่าเชื่อถือเช่นกันครับ
แล้วในกรณีของนักข่าวสมัครเล่นล่ะ? อันนี้จะเข้าทำนองเดียวกับเว็บไซต์ข่าวสมัครเล่นเช่นกัน นั่นคือ ความสำคัญอยู่ที่ลิงก์ที่นำเราไปยังแหล่งที่มาของข่าวครับ ว่าไปที่ไหน? มีความน่าเชื่อถือแค่ไหน?
สุดท้าย จำไว้เสมอ จำนวน ไม่เท่ากับ ความถูกต้อง
ผมโพสต์ไปก่อนหน้านี้แล้วว่า เวลา Google หาข้อมูลเกี่ยวกับข่าว บางทีเราก็เจอผลลัพธ์ของการค้นหาที่มีแต่ข่าวลวงเยอะแยะ เยอะกว่าข่าวจริงอีก … คือมันเป็นวิธีการคิดอย่างหนึ่งของคนเราครับ เป็นวิธีคิดที่เป็นสากลมาก เวลาที่เราต้องตัดสินใจอะไรบางอย่างในสิ่งที่เราไม่ทราบ เรามักจะทำตามคนส่วนใหญ่ ที่ทางจิตวิทยาเขาเรียกว่า Social Validation หรือ Social Proof เพราะเราเชื่อว่า สิ่งที่คนส่วนใหญ่เชื่อกันมักจะไม่ผิด
ในแง่ของข่าวสารในปัจจุบัน เราจะคิดแบบนั้นไม่ได้แล้ว เพราะข่าวหนึ่งอาจจะเกิดจากต้นกำเนิดเพียงคนเดียว แล้วถูกแชร์กันไปเรื่อยๆ ซึ่งแชร์กันได้ง่ายมาก เพราะแค่กดปุ่ม Share ขึ้น Facebook หรือ Google+ กด Retweet บน Twitter ก็เท่านั้น ฉะนั้น อย่าคิดว่าเห็นคนโพสต์กันเยอะ พูดถึงกันเยอะ ทวีตกันเยอะ รีทวีตกันเยอะ ไลค์กันใหญ่ +1 กันเข้าไปแล้ว ข่าวมันจะน่าเชื่อถือ
แนะนำให้ย้อนกลับไปอ่านตั้งแต่หัวข้อแรกครับ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของแหล่งข่าว … แรกๆ อาจจะรู้สึกว่ามันทำยาก ทำไม่ได้ แต่ถ้าเราหัดไปเรื่อยๆ จนชำนาญแล้วละก็ มันจะง่ายขึ้นเยอะมาก และเวลาเราอ่านข่าวอะไร เราจะรู้สึกได้เลยว่า เราไม่หลงเชื่ออะไรง่ายๆ อีกต่อไปครับ
ขอขอบคุณบทความจาก คุณคงเดช กี่สุขพันธ์ (@kafaak) จากบล๊อก kafaakblog