ถ้าใครได้อ่านไขปริศนาหน้าจอตอนที่แล้วก็คงจะได้เข้าใจถึงความหมายของสเปกพื้นฐานที่ผู้ผลิตเขาเอามานำเสนอให้ได้อ่านกันแล้ว ว่าอะไรมันหมายถึงอะไรกันบ้าง ในตอนนี้เราจะมาเน้นกันในเรื่องของเทคโนโลยีต่างๆ บ้าง ว่าอะไรเป็นอะไร และมีข้อดีข้อด้อยกันตรงไหนบ้าง … อ่านตอนนี้จบแล้วจะได้ทราบว่า LCD กับ OLED ต่างกันตรงไหน แล้วที่บอกว่าเป็น AMOLED, Super AMOLED, HD Super AMOLED กับ Super AMOLED Plus ให้ชวนงง แต่ละเทคโนโลยีเป็นอย่างไรกันแน่ ติดตามอ่านได้จากบทความนี้….
ขอขอบคุณบทความจาก คุณคงเดช กี่สุขพันธ์ (@kafaak) จากบล๊อก kafaakblog
เทียบ LCD กับ OLED
เชื่อว่าหลายๆ ท่านน่าจะเกิดทันใช้งานจอแสดงผลแบบ CRT (Cathode Ray Tube) ล่ะน่า คงพอทราบว่ามันใหญ่เทอะทะแค่ไหนเมื่อเทียบกับจอ LCD (Liquid Crystal Display) ลองดูรูปข้างล่าง (Credit:Yugatech.com) ได้ครับ จะเห็นว่าแตกต่างกันเยอะเลย … ตอนนั้นจริงๆ ก็มีการสับสนระหว่างคำว่า Flat Panel (เป็นจอ CRT อยู่ แต่เป็นจอเรียบ ไม่ใช่จอกระจกโค้ง) กับ Flat Screen หรือพวกจอ LCD นี่แหละ
มาในยุคนี้ จอ CRT หายากแล้วครับ เราจะเห็นจอ LCD กันเยอะมากครับ … และเทคโนโลยีที่เข้ามาท้าชิงก็คือ OLED (Organic Light Emitting Diode) ครับ ความแตกต่างของทั้งสองเทคโนโลยีนี้ ให้อธิบายคงได้ความประมาณนี้
- LCD (Liquid Crystal Display) ต้องมีแหล่งกำเนิดแสงก่อน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะใช้ Backlight จากนั้นพิกเซลแต่ละพิกเซล ซึ่งประกอบไปด้วย Subpixel 3 สี อันได้แก่แม่สีแสง แดง เขียว น้ำเงิน (RGB) จะทำหน้าที่สร้างสีสันต่างๆ นั่นหมายความว่า ไม่ว่าจะสร้างสีอะไรก็ตาม (แม้แต่สีดำ) จอ LCD ก็ต้องการพลังงานไฟฟ้าในการแสดงผลครับ
- OLED (Organic Light Emitting Diode) นั้นไม่ต้องใช้ Backlight ครับ แต่ละพิกเซลของจอแสดงผลสามารถส่องสว่างเองได้ ข้อดีก็คือ การแสดงผลสีดำของจอ OLED นั้นจะดำสนิทจริงๆ เพราะมันคือการปิดแสง ไม่ส่องสว่างอะไรเลย และนั่นก็เลยทำให้ประหยัดพลังงานอีกด้วย … จอ OLED นั้นจะมีความสว่างมากกว่าจอ LCD ทั่วๆ ไป เพราะแต่ละพิกเซลส่องแสงเองได้นี่แหละ
ภาพด้านล่างนี่คือโครงสร้างของจอ OLED ครับ (Credit: Howstuffworks.com)
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ลองดูกันหน่อยไหมว่า OLED มันส่องแสงออกมาได้ยังไง (ข้อมูลและภาพจากHowstuffworks.com)
หลักการทำงานของจอ OLED ก็ง่ายๆ ครับ
- เมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าจาก Cathode ไปยัง Anode ผ่าน Organic Layer แล้ว Cathode ก็จะปล่อยอิเล็กตรอนออกไปยัง Emissive Layer ของ Organic Molecule ส่วน Anode ก็จะดึงเอาอิเล็กตรอนออกมาจาก Conductive Layer ของ Organic Molecule … พูดง่ายๆ คือ สร้าง Electron Hole ใน Conductive Layer นั่นเอง
- อิเล็กตรอนจะเข้ามาหา Electron Hole แล้วเข้าไปเติมเต็มในนั้น จากนั้นก็ปล่อยพลังงานออกมาในรูปของโฟตอน กลายเป็นการส่องสว่างนั่นเอง
ทีนี้จะส่องแสงสีอะไรออกมา ก็อยู่กับชนิดของ Organic Molecule ใน Emissive Layer ครับ ส่วนความสว่างของแสงที่ส่องออกมานั้นก็อยู่ที่ว่าจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าไปมากแค่ไหน ถ้ายิ่งใส่มากก็ยิ่งส่องสว่าง
ข้อดีของจอ LCD ที่เห็นได้ชัดๆ และมีการอ้างอิงถึงบ่อยๆ ก็คือ อายุการใช้งานของจอ LCD นั้นนานกว่า OLED ครับ นอกจากนี้ก็ยังมีต้นทุนในการผลิตที่ถูกกว่าด้วย แต่ข้อเสียก็อย่างที่บอกไปข้างต้น คือ ทุกสีที่แสดงออกมา ต้องใช้พลังงานในการสร้างทั้งนั้น และการที่ต้องใช้ Backlight เนี่ย ทำให้มันแสดงผลสีดำได้ไม่ดำสนิทจริงๆ และหากออกแบบตำแหน่ง Backlight มาไม่ดี โอกาสที่ไฟ Backlight จะแลบออกมาให้รำคาญสายตาก็ยิ่งเยอะ
ในขณะที่ OLED นั้นก็อย่างที่บอกครับ ประหยัดไฟกว่า แสดงผลสีดำได้ดำสนิทดีกว่า แต่ก็แลกมาด้วยอายุการใช้งานที่สั้นกว่า โดยเฉพาะพวก Subpixel สีแดงและสีน้ำเงิน เลยทำให้เมื่อใช้ไปนานๆ สมดุลของสีจะเริ่มเอนเอียงมาทางสีเขียว … นอกจากนี้ กระบวนการผลิตจอ OLED ก็ยังถือว่ามีต้นทุนที่สูงอยู่ ดังนั้นก็จะมีเพียงผู้ผลิตเพียงไม่กี่รายที่กล้าเอาจอประเภท OLED มาใช้กับ Smartphone/Tablet ของตนเอง ซึ่งเท่าที่เห็นตอนนี้ก็มี Samsung, HTC, Motorola และ Nokia ครับ
AMOLED, Super AMOLED, HD Super AMOLED และ Super AMOLED Plus
ว่าแต่ AMOLED (Active Matrix Organic Light Emitting Diode) มันคืออะไร? คำตอบก็คือมันเป็นจอ OLED ประเภทหนึ่ง ที่ใช้เทคนิค Active Matrix ในการควบคุมการจ่ายกระแสไฟให้กับแต่ละ Subpixel ครับ โดยใช้สิ่งที่เรียกว่า Thin Film Transistor (TFT) ครับ (คุ้นๆ แมะ … เหมือนจอ TFT LCD ไง … ใช้เทคนิคในการควบคุมการจ่ายกระแสไฟฟ้าแบบเดียวกันแหละ) … (Credit: Wikipedia)
TFT เนี่ย จะทำหน้าที่เป็นเหมือนสวิตช์ในการควบคุมการจ่ายกระแสไฟฟ้าไปยัง Subpixel ต่างๆ แหละครับ วิธีนี้ช่วยให้สามารถควบคุมปริมาณกระแสไฟฟ้าได้ค่อนข้างดีมากๆ
ส่วนความแตกต่างของ Super AMOLED, HD Super AMOLED และ Super AMOLED Plus นั้นไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยี OLED แต่อยู่ที่เรื่องของ Subpixel ครับ … อย่างที่ได้บอกไปก่อนหน้าแล้วว่าแต่ละพิกเซลนั้นประกอบไปด้วย Subpixel สามสี คือ แดง เขียว และน้ำเงิน ซึ่งเมื่อส่องสว่างในระดับต่างๆ ก็จะสามารถสร้างสรรค์ออกมาเป็นสีต่างๆ ได้
Super AMOLED นั้น จะเป็นการเรียง Subpixel ในแบบที่เรียกว่า PenTile ครับ คือ แทนที่จะเป็น แดง-เขียว-น้ำเงิน (RGB) ก็เรียงเป็น แดง-เขียว-น้ำเงิน-เขียว (RG-BG) แทน … ลักษณะของการจัดเรียง Subpixel แบบ PenTile นั้นเป็นแบบรูปด้านล่างนี่ครับ (Credit: Arstechnica.com)
HD Super AMOLED มันก็คือ Super AMOLED นั่นแหละครับ จัดเรียง Subpixel ในแบบ PenTile เหมือนกัน เพียงแต่เรียก HD Super AMOLED ก็เพราะว่าความละเอียดของหน้าจอคือ 1280×720 พิกเซล นั่นแหละครับ
ถ้าเทียบกับการจัดเรียงพิกเซลแบบ RGB แล้ว การจัดเรียงแบบ PenTile นั้นมีจำนวน Subpixel น้อยกว่า 33% ครับ และด้วยเหตุนี้ หากพิจารณากันอย่างถ้วนถี่แล้ว คุณภาพของการแสดงผลบนจอที่จัดเรียง Subpixel แบบ PenTile ก็เลยด้อยกว่าจอแสดงผลที่จัดเรียงพิกเซลแบบ RGB ครับ … พูดง่ายๆ หากจะให้จอ PenTile แสดงผลได้คุณภาพพอๆ กับ RGB นี่ ต้องเพิ่มจำนวน Pixel Density ให้มากกว่านี้ครับ
เมื่อจำนวน Subpixel ต่อ 1 พิกเซลมันน้อยกว่าแบบ RGB แล้ว ก็เลยทำให้มีข้อถกเถียงว่า แล้ววิธีการนับจำนวนพิกเซลของจอ PenTile จะนับแบบเดียวกับ RGB ได้เหรอ ดังนั้นหน้าจอ HD Super AMOLED ของ Samsung ที่ว่ามันขนาด 1280×720 พิกเซล จริงๆ แล้ว จะนับว่ามันเป็นระดับ HD ได้จริงไหม?!? อันนี้ยังไม่มีใครฟันธงได้ชัดเจน
แต่ถ้ามองอีกแง่นึง ด้วยจำนวนพิกเซลที่ค่อนข้างละเอียดในขณะที่หน้าจอที่ขนาดไม่ใหญ่มาก และระยะจากสายตาถึงหน้าจอค่อนข้างห่าง … อาจไม่น่าแปลกใจหากเราไม่สามารถแยกได้ว่าจอแบบ PenTile กับ RGB แตกต่างกันตรงไหนอ่ะนะ …และข้อดีของการจัดเรียงพิกเซลแบบ PenTile ก็คือ อายุการใช้งานยาวนานขึ้น และกระบวนการผลิตมีต้นทุนต่ำกว่าการผลิตจอ Super AMOLED Plus ครับ … แล้วว่าแต่ Super AMOLED Plus คืออะไร?
จอ Super AMOLED Plus นั้น มีการจัดเรียง Subpixel ที่ดูๆ แล้วก็คือรูปแบบของ RGB นั่นเองแหละครับ … หากดูรูปด้านล่างแล้วจะเห็นได้ชัด ตรงนี้ Samsung พยายามชี้ประเด็นว่าในหน้าจอ AMOLED ปกติ (หรือก็คือ Super AMOLED ตามชื่อของ Samsung นั่นแหละ) มันจะมี 8 Subpixels ต่อ 1 พิกเซล แต่พอเป็น Super AMOLED Plus นั้นจะมี 12 Subpixels เลย คุณภาพของรูปจะดีขึ้นชัดเจน (ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริงๆ)
ตอนหน้ามาดูเรื่องของจอ LCD กันบ้างครับ….
ขอขอบคุณบทความจาก คุณคงเดช กี่สุขพันธ์ (@kafaak) จากบล๊อก kafaakblog