บทความนี้ ขอพูดถึงภาพรวมของเทคโนโลยีการแสดงผลทั้งหมด ถึงข้อดี ข้อด้อย ของเทคโนโลยีจอแสดงผลสำหรับ Smartphone / Tablet เวลาอ่านสเปกจะได้ไม่สับสน หรือช่วยในการเลือกซื้อมือถือ หรือ tablet ที่มีมากมายหลากสเปคในปัจจุบัน
ความละเอียดหน้าจอ (Screen Resolution)
เวลาที่ผู้ผลิตจะพูดถึงสเปกของหน้าจอแสดงผลของ Smartphone/Tablet นอกเหนือจากขนาดของหน้่าจอ ซึ่งวัดกันตามแนวทแยงและมีหน่วยเป็นนิ้วแล้ว ก็จะมีเรื่องของความละเอียดของหน้าจอด้วย มีหน่วยเป็นพิกเซล โดยมีรูปแบบการเรียกเป็น จำนวนพิกเซลในแนวนอนคูณด้วยจำนวนพิกเซลในแนวตั้ง เช่น 480×800 พิกเซล หมายความว่า มีจำนวนพิกเซลในแนวนอนที่ 480 จุด และแนวตั้ง 800 จุดเป็นต้น (รูปด้านล่าง Credit: Windows8Update.com)
ผู้ขายบางรายก็ชอบเอาตัวเลขนี้มาคูณกัน แล้วบอกความละเอียดของหน้าจอเป็นจำนวนพิกเซลทั้งหมดบนหน้าจอ เช่น 1,366 x 768 พิกเซล ก็เรียกเป็น 1.05 ล้านพิกเซล เป็นต้น วิธีการเรียกแบบนี้โดยมาจะใช้กับพวกทีวีจอแบน … นอกจากนี้ ยังมีวิธีการเรียกความละเอียดหน้าจออีกแบบครับ เขาจะเรียกขนาดจอ 640×480 พิกเซลว่า VGA (Video Grid Array) หรือ 800×480 พิกเซล เรียกว่า WVGA หรือ HD 1080 ก็หมายถึงความละเอียด 1920×1080 เป็นต้น ซึ่งมีวิธีเรียกยิบย่อยเยอะมากครับ แนะนำว่าดูรูปด้านล่างนี่จะดีกว่า (Credit: Wikipedia)
กรณีนี้ ความละเอียดหน้าจอสูงสุดในกลุ่ม Smartphone/Tablet ก็คือ QXGA ครับ ตำแหน่งของหน้าจอสุดละเอียดนี้เป็นของ The new iPad นั่นเอง … นั่นหมายความว่า Retina Display บน The new iPad ที่ Apple เรียกกัน จริงๆ ก็คือหน้าจอที่มีความละเอียดระดับ QXGA (2048×1536 พิกเซล) นั่นแหละ เพียงแต่เป็นหน้าจอความละเอียดสูงที่มีขนาดเล็กกว่าที่ปกติเขาทำกันครับ
อัตราส่วนการแสดงผล (Display Aspect Ratio)
หมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างสัดส่วนของความกว้างของหน้าจอกับความสูงของหน้าจอครับ โดยแสดงผลในรูปของ x:y (ความกว้างต่อความสูงของหน้าจอ) ซึ่งที่เรามักจะเห็นกันและได้ยินกันบ่อยก็จะเป็น 4:3 และ 16:9 ครับ มันหมายความว่า…
- 4:3 … ถ้าความสูงของหน้าจอคือ 16 นิ้ว ความกว้างของหน้าจอก็จะเป็น 12 นิ้ว (16 นิ้วแบ่งเป็น 4 ส่วนคือส่วนละ 4 นิ้ว … ดังนั้นความสูงมี 3 ส่วน ส่วนละ 4 นิ้ว ก็เป็น 12 นิ้ว)
- 16:9 … ถ้าความสูงของหน้าจอคือ 16 นิ้ว ความกว้างของหน้าจอก็จะเป็น 9 นิ้ว
สมัยก่อนพวก Content ต่างๆ จะมีการแสดงผลแบบ 4:3 ครับ พวกทีวีที่บ้านสมัยก่อนที่เป็นแบบ CRT (Cathode Ray Tube) จะใช้การแสดงผลแบบนี้ พวกที่เป็น VGA, XGA, SVGA อะไรพวกนี้ จะเป็นการแสดงผลแบบ 4:3 … iPod Touch/iPhone เป็นอัตราส่วน 3:2 ครับ ส่วน iPad 1/iPad 2/The new iPad เป็นอัตราส่วน 4:3 ครับ
แต่หลังๆ เราจะได้เห็นพวก Content ต่างๆ มาในรูปแบบอัตราส่วนการแสดงผล 16:9 กันมากขึ้นครับ แต่หน้าจอแสดงผลที่เป็น 16:9 แท้ๆ เลยเนี่ยไม่ค่อยได้เห็น ส่วนใหญ่เราจะได้เห็นจอแบบที่เรียกว่า Widescreen มากกว่า เช่น WVGA, WXGA แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีเลยนะครับ จอที่เป็นอัตราส่วน 16:9 แท้ๆ ก็พวกที่เป็น HD 720 (1280×720 พิกเซล) หรือ HD 1080 (1920×1080 พิกเซล) เป็นต้น พวกนี้มักจะในจอคอมพิวเตอร์, โน้ตบุ๊ก และพวก Android Smartphone/Tablet ครับ
ตารางด้านล่าง แสดงอัตราส่วนของหน้าจอความละเอียดต่างๆ ให้ได้ดูกันครับ … สังเกตดีๆ ว่า นอกจาก 4:3 และ 16:9 แล้ว จริงๆ ก็ยังมีสัดส่วนอื่นๆ อีกบ้าง แต่ไม่ได้เยอะและแพร่หลายเท่าสองแบบแรกครับ (ที่แพร่หลายอีกแบบคือ 16:10)
ความหนาแน่นของพิกเซล (Pixel Density)
สเปกตัวต่อมาของหน้าจอ … แรกๆ ก็ไม่ค่อยมีใครสนใจเท่าไหร่ แต่เริ่มมาให้ความสนใจมากขึ้นก็อีกตอนที่ Steve Jobs ออกมาเปิดตัว Retina Display ที่ใช้กับ iPhone 4 นั่นแหละ มันทำให้เราได้รู้ว่าการมีแค่หน้าจอความละเอียดสูงๆ อย่างเดียวมันไม่พอ มันต้องพิจารณาไปถึงความหนาแน่นของพิกเซลบนจอแสดงผลนั้นๆ ด้วย
วิธีการคำนวณความแน่นของพิกเซล หรือที่เรียกภาษาฝรั่งว่า Pixel Density ซึ่งมีหน่วยเป็น ppi (Pixel per Inch) นั้นไม่ยากครับ ถ้าเรารู้ตัวแปร 3 ตัว นั่นคือ จำนวนพิกเซลแนวนอน จำนวนพิกเซลแนวตั้ง และขนาดของหน้าจอวัดตามแนวทแยง … พูดง่ายๆ คือ ความละเอียดหน้าจอและขนาดของหน้าจอ ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้ก็เป็นอะไรที่ผู้ผลิตเขาให้มาอยู่แล้ว
ขั้นต่อมาคือเอาความละเอียดหน้าจอมาคำนวณหาจำนวนพิกเซลตามแนวทแยง ซึ่งใช้สูตรพิทาโกรัสในการคำนวณได้ครับ
เมื่อ dp คือจำนวนพิกเซลตามแนวทแยง ส่วน wp คือ จำนวนพิกเซลตามแนวนอน และ hp คือจำนวนพิกเซลตามแนวตั้ง … เมื่อได้ dp มาแล้วก็ได้เวลาไปคำนวณหาความหนาแน่นพิกเซลต่อด้วยการหาร dp ด้วยขนาดหน้าจอ
เมื่อ di คือขนาดของหน้าจอแสดงผลตามแนวทแยง มีหน่วยเป็นนิ้ว … เท่านี้เราก็จะได้ค่า Pixel Density แล้ว ง่ายไหมล่ะ … แต่ถ้าใครขี้เกียจคำนวณแบบสุดๆ แนะนำว่าไปที่เว็บไซต์ http://pixeldensitycalculator.com/ จากนั้นกรอกข้อมูลเข้าไปแล้วคลิก Calculate แล้วก็จะได้ตัวเลขออกมาเลย หุหุ
ทีนี้ถามว่า Pixel Density สำคัญไฉน? ถ้าใครอ่าน “สรุปแล้ว Retina Display คือสุดยอดใช่ไหม?” แล้ว คงเข้าใจว่าหน้าจอที่ดูเนียน มันต้องมีขนาดเม็ดพิกเซลเล็กๆ จนดวงตาของเราแยกไม่ออกว่ามันมีเม็ดพิกเซลอยู่ นั่นก็คือ หากหน้าจอมีความหนาแน่นของพิกเซลมากๆ ก็เท่ากับต้องพยายามทำเม็ดพิกเซลให้เล็กที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อจะได้ยัดจำนวนพิกเซลมหาศาลนั้นเข้าไปในพื้นที่ที่จำกัดได้
หากนึกไม่ออกว่า Pixel Density มันมีผลทำให้หน้าจอแตกต่างกันยังไง ลองดูรูปด้านล่างนี่ ที่เป็นภาพจากจอ iPad 2 ที่มีขนาด 9.7 นิ้ว ความละเอียด 1024×768 พิกเซล หรือ 132ppi เทียบกับ The new iPad ที่ขนาดหน้าจอ 9.7 นิ้วเท่ากัน แต่ความละเอียด 2048×1536 พิกเซล หรือ 264ppi …จะเห็นว่า หน้าจอ The new iPad เวลามองใกล้ๆ ก็ยังแยกไม่ออกว่ามีเม็ดพิกเซล แต่ถ้าเป็น iPad 2 นี่ เห็นเป็นเม็ดๆ เลยครับ
เรื่องนี้ยาว และไม่จบง่ายๆ ในตอนเดียว โปรดติดตามต่อ ในตอนหน้าครับ….
ไขปริศนาหน้าจอ Smart Phone/Tablet (ตอนที่2)
ขอขอบคุณบทความจาก คุณคงเดช กี่สุขพันธ์ (@kafaak) จากบล๊อก kafaakblog