ขอขอบคุณเนื้อหาจาก บทความเรื่อง “ ทำงานตอนไฟดับอย่างไรให้ฉลุยและไม่ทุกข์มากมาย? ” โดย คุณคงเดช กี่สุขพันธ์ (@kafaak) จากบล๊อก นานาสาระกับนายกาฝาก ค่ะ
อะไรๆ ในโลกนี้บางทีมันเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ใครล่ะจะคิดว่าการที่อุตส่าห์รีบกลับมาบ้านเร็วๆ ด้วยความหวังว่าจะได้รังสรรค์บล็อกรีวิวมาซัก 1 ตอน แล้วไปทำงานอย่างอื่นต่อ กลายมาเป็นต้องนั่งนิ่งๆ (แถมร้อนอีกต่างหาก) เพราะไฟดับ จะดีกว่าไหม หากเราสามารถเตรียมตัวให้พร้อม สำหรับรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ได้
โน้ตบุ๊กเหมาะกับการทำงานเผื่อกรณีไฟดับมากกว่า
ในการทำงานแบบจริงจังแล้ว การใช้ PC ซักเครื่อง เนี่ยสุดยอดที่สุดแล้ว แต่มันไร้ประโยชน์ในบัดดลทันทีเมื่อไฟดับจริงไหมครับ? หากต้องการให้สามารถทำงานต่อไปได้อีกสักระยะ (ก็ยังดี อย่างน้อยยังพอเคลียร์งานได้) เราต้องการคู่หูใหม่ครับ ชนิดที่มีแบตเตอรี่ในตัว สามารถทำงานต่อไปได้ แม้จะไม่มีไฟฟ้าใช้แล้วก็ตาม
และโน้ตบุ๊ก (หรือ MacBook) นี่แหละ เหมาะสมที่สุดแล้ว … อย่าไปหวังพึ่ง UPS นะครับ เพราะอย่างเก่งก็ให้ไฟไว้ทำงานต่อได้สูงสุดไม่น่าจะเกิน 30 นาทีอ่ะ
ถ้าต้องการจะใช้งานได้นานๆ หน่อย แนะนำว่าโน้ตบุ๊กที่ให้พลังในการประมวลผลมากพอ สามารถใช้งานได้สะดวก ควรจะมีขนาดหน้าจอซัก 12.1 นิ้วขึ้นไป ซึ่งเดี๋ยวนี้มีหลายยี่ห้อที่โม้นักโม้หนาว่าแบตเตอรี่ใช้งานต่อเนื่องได้ 8 ชั่วโมง 10 ชั่วโมง … คือจริงๆ มันก็ไม่ได้ตามที่โม้หรอกนะครับ (เท่าที่ผมทดสอบมา) ส่วนใหญ่จะได้ 4.5 – 6 ชั่วโมงมากกว่า ภายใต้การใช้งานทั่วไป มีการเชื่อมต่อ WiFi … หรือใครอาจเลือกใช้ Netbook ก็ได้ พลังการประมวลผลน้อยหน่อย อืดๆ อยู่บ้าง แต่แบตเตอรี่ก็ได้ 5 ชั่วโมงโดยประมาณ
แต่ก่อนที่จะใช้งานให้ได้ยาวนานที่สุด ก็ต้องตั้งให้มันประหยัดพลังงานก่อนครับ ก่อนอื่นเลย ให้ลองไปคลิกที่ไอคอนรูปแบตเตอรี่ดูก่อน โน้ตบุ๊กส่วนใหญ่จะมีให้ปรับโหมดพลังงานได้ครับ ถ้าไม่ต้องการวุ่นวายมาก เลือก Plan เป็น Power saver เลยก็เป็นอันเรียบร้อย แต่หากต้องการปรับละเอียดละก็ ให้คลิกที่ More power options
ในหัวข้อ Power options เนี่ย เราจะเห็นว่าแต่ละ Plan มันจะมีตัวเลือก Change plan settings อยู่ ถ้าเราเข้าไปในนั้นแล้ว เราจะสามารถไปปรับตั้งรายละเอียดต่างๆ เพิ่มเติมได้
จะเห็นว่าเราจะมีตัวเลือก 4 ตัว ในกรณีที่ใช้แบตเตอรี่ หรือเสียบปลั๊กอยู่ … อยากบอกว่า ให้เน้นไปที่ตอนใช้แบตเตอรี่ และเรื่องของ Adjust plan brightness ก็พอครับ เอาให้ต่ำสุดไปเลย
ทำไมน่ะเหรอ? เพราะคุณกำลังปรับแต่งเพื่อใช้ทำงาน ซึ่งเราจะอยู่กับหน้าจอตลอด ใช้งานตลอด ไอ้ 3 ตัวเลือกแรกไม่ได้มีอะไรที่เป็นประโยชน์กับตรงนี้เลย และในสถานการณ์ไฟดับ แสงรอบข้างมันจะแทบไม่มีเลย รอบตัวเราจะมืดมากๆ ดังนั้น แม้ว่าความสว่างของหน้าจอจะต่ำที่สุด เราก็จะสามารถเห็นได้อย่างสบายๆ อยู่แล้ว แบบนี้แหละ ประหยัดแบตเตอรี่ดี
เอาละ เท่านี้อุปกรณ์สำหรับทำงานก็พร้อมแล้วสินะ
อินเทอร์เน็ตก็สำคัญ
ถ้าคิดว่าจะเตรียมการเผื่อไว้สำหรับทำงานอยู่ที่บ้านตอนไฟดับละก็ พิจารณาเรื่องการหาตัวตายตัวแทนสำหรับอินเทอร์เน็ตไว้ด้วยนะครับพี่น้อง เพราะท่านจะเหลือสองทางเลือก คือ
- หา UPS มาจ่ายไฟชั่วคราวให้กับตัว ADSL Router ซึ่งผมยังไม่ได้ทดสอบจริงๆ เลยว่าขนาด 500VA เนี่ย มันจะจ่ายไฟให้กับ Router ได้นานแค่ไหน แต่มีคนเคยบอกว่า 500VA เนี่ย จ่ายไฟ 300W ได้ราวๆ 13 นาที ดังนั้น หากเชื่อในเลขนี้ ลองคิดจาก D-Link ที่กินไฟ 220V 150mA หรือก็คือ 33W โดยประมาณแล้ว ก็น่าจะอยู่ได้ราวๆ 2 ชั่วโมงครับ
- เปลี่ยนไปใช้ Mobile Internet เลย เพราะเดี๋ยวนี้ Smartphone รุ่นใหม่ๆ อย่าง iPhone 4 หรือ Android Smartphone (เน้นที่เวอร์ชัน 2.2 ขึ้นไป) ต่างก็ทำตัวเป็น Mobile Access Point กันได้หมดแล้ว แชร์เน็ตผ่าน WiFi มาให้โน้ตบุ๊กเราได้สบายๆ
ทางเลือกที่ 2 ดูจะเหมาะกับหลายๆ คนมากกว่า เพราะเดี๋ยวนี้หลายๆ คนก็พก Smartphone กันหมดแล้ว แถมอาจใช้แพ็กเกจแบบ Unlimited อีกด้วย … ที่เหลือก็แค่ พิจารณาว่าบ้านของเราเนี่ย อยู่ในพื้นที่ที่มันรองรับ 3G ไหม จะได้มี Mobile Internet ความเร็วสูงใช้ … บอกก่อนเลย EDGE พอใช้ได้นะครับ (ไม่ว่าจะ truemove, DTAC หรือ AIS ก็ตาม) แต่ว่าหากต้องทำงานกับไฟล์ใหญ่มากๆ ละก็ 3G ดีกว่าเยอะ
ตัว Smartphone เองก็สำคัญ เพราะหากคิดว่าจะใช้ 3G ของ DTAC หรือ truemove ก็ต้องรองรับ 3G ที่คลื่น 850/2100MHz แต่หากจะใช้ 3G ของ AIS ก็ต้องเป็น 900/2100MHz ตรงนี้ของ AIS จะได้เปรียบกว่าในแง่ของอุปกรณ์ที่รองรับ เพราะส่วนใหญ่รองรับหมด แต่ truemove จะได้เปรียบกว่าตรงที่พื้นที่ให้บริการครอบคลุมแทบทุกมุมของกรุงเทพแล้ว … ครับ ต่างจังหวัดคงต้องมองที่ EDGE เป็นหลักไว้ก่อน … ตรงนี้ใครงงว่าผมกำลังพูดถึงเรื่องบ้าอะไรอยู่ แนะนำให้อ่านบล็อกที่ผมไขปริศนาสเปกสมาร์ทโฟน เอาแล้วกัน
แบตเตอรี่สำรอง สำหรับอุปกรณ์ที่จำเป็น
ผมอยากทุกท่านหาก External Battery ไว้หน่อยก็ดี โดยส่วนตัวผมใช้ Zagg II (แบบในรูปซ้ายมือนี่) กับ New Trent ครับ แต่หากคุณจะใช้ Sanyo Mobile Booster หรือ Energizer ก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด พยายามเลือกที่จุเยอะๆ หน่อย (หน่วยวัดเป็นมิลลิแอมป์อาว หรือ mAh)
ถ้าใครต้องการเผื่อเหลือเผื่อขาดเลย ทุ่มทุนกับนี่เลย Energizer ® Energi To Go ® XP18000 ครับ แบตเตอรี่ 18,000mAh ใหญ่บักควาย แถมแรงพอจะชาร์จโน้ตบุ๊กได้ด้วย แต่พึงระลึกไว้เสมอนะครับ ยิ่งความจุมาก ยิ่งแพงครับ …
ที่ต้องเตรียมเผื่อเอาไว้ไม่ใช่เพราะอะไรหรอกครับ เพราะเราจะมั่นใจได้ยังไงว่า กลับมาจากนอกบ้านแล้ว Smartphone หรือโน้ตบุ๊ก ของเราแบตเตอรี่จะเต็มร้อยตลอดเวลา เพราะเราต้องใช้งานมาบ้างแล้วบางส่วนจากนอกบ้านแหละน่า … และนอกจากเอาไว้สำรองเผื่อชาร์จแบตเตอรี่มือถือแล้ว มันยังมีประโยชน์อื่นอีก ซึ่งเดี๋ยวจะได้กล่าวถึงต่อไปครับ … ดังนั้น บางทีมีแบตเตอรี่ประเภทนี้ไว้ซัก 2 ก้อน 2 ขนาดขึ้นไปดีกว่า
ปัจจัยเสริม เพื่ออำนวยบรรยากาศในการทำงานตอนไฟดับ
ข้างบนนั่นผมได้พูดถึงวิธีการเตรียมตัวสำหรับการทำงานไปแล้ว แต่แม้อุปกรณ์ทุกอย่างจะพร้อม เราก็จะไม่มีกำลังใจทำงานเท่าไหร่ เพราะว่ามันร้อนอ้ะ จริงแมะ
อาจดูเหมือนของเล่นเด็ก และอาจดูไร้ประโยชน์ (โดยเฉพาะเวลาที่เรามีไฟฟ้าใช้ตามปกติ) แต่พัดลม USB ที่เราสามารถหาซื้อได้ตามร้านขาย Gadget เล็กๆ น้อยๆ ตามห้างคอมฯ ต่างๆ หรือในงาน Commart ตัวละ 200 บาทเนี่ย มันจะมีประโยชน์อย่างมากตอนที่ไฟดับครับ เพราะว่าในสภาวะที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ ลมเอื่อยๆ นี่ก็คลายร้อนได้แล้ว
เชื่อผมเหอะ พัดลม USB เนี่ย เวิร์คแบบสุดๆ สุดลิ่มทิ่มประตู
หลายคนอาจตั้งข้อสังเกตว่า แล้วเมื่อมันใช้ไฟจาก USB แบบนี้ มันจะไม่ไปทำให้โน้ตบุ๊กแบตเหลือน้อยลงเหรอ? นี่คือที่มาที่ผมบอกให้เตรียม External Battery เอาไว้ซัก 2 ก้อนไงครับ ก้อนนึงเอาไว้ใช้กับ Smartphone เผื่อจ่ายเน็ตผ่าน WiFi อีกก้อนก็เอาไว้ใช้กับพัดลมนี่ได้ พัดลมพวกนี้กินไฟน้อยครับ ดังนั้นอยู่ได้เป็นชั่วโมงเลย ถ้ามี External Battery ที่จุซัก 5000mAh
นอกจากนี้ก็ยังมี Gadget อื่นๆ อีกมากมายที่อำนวยความสะดวก ทำให้เราทำงานอย่างมีความสุขได้อีกเยอะ เช่น หลอดไฟ LED หรือตู้เย็น USB ก็ได้
หลอดไฟ LED เนี่ยไม่แพงเท่าไหร่ แต่ถ้าอยากให้สว่างๆ ก็ต้องหาอันที่มีจำนวนหลอดเยอะๆ หน่อย … คำแนะนำของผม 3 หลอดไม่มากพอครับ ซัก 7 หลอดขึ้นไปจะดีมาก แต่มันก็จะแพงขึ้นอีกหน่อย แล้วก็กินไฟมากขึ้นอีกนิด แต่ถ้าเรามี External Battery ขนาดใหญ่ก็สบาย
ส่วนตู้เย็น USB เนี่ยหลายร้อยอยู่ ถ้าจำไม่ผิด 600-800 บาทเลยอ่ะ หลักการจริงๆ ไม่มีอะไรมาก ก็แค่พัดลมความเร็วสูงที่เป่าไปยัง Heatsink ที่เป็นโลหะ ภายใต้พื้นที่ที่จำกัดมากๆ ทำให้มันเย็น และดูดความร้อนออกจากกระป๋องเครื่องดื่มครับ นั่นแหละ คือเหตุผลที่ทำไมมันแช่ได้ทีละกระป๋องครับ
แล้วท่านอื่นๆ มีเกร็ดเล็กน้อย หรือทิปเด็ดๆ มาแชร์กันไหมครับ? Comment ว่างอยู่ เชิญแชร์ได้ตามสะดวกครับ
บทความโดย คุณคงเดช กี่สุขพันธ์ (@kafaak) จากบล๊อก นานาสาระกับนายกาฝาก