ตอนที่ 1
ตอนที่ 2
ในที่สุดในวันนี้ 19 สิงหาคม 2014 ก็ทราบผู้ชนะจากโครงการ Dtac Accelerate ปี 2557 แล้ว จากผู้แข่งขัน Startup ทั้งหมด5 ทีมสุดท้าย ได้แก่ Anywhere to Go , Piggipo , Fast In Flow Drivebot , และ Story Log โดยทั้ง 5 ทีมต้องเข้า Bootcamp นาน 3 เดือน และในวันนี้เป็นวัน Demo Day ซึ่งผู้เข้าแข่งขันทั้ง 5 ทีมจะต้องนำเสนอโครงการของตัวเองต่อคณะกรรมการ ซึ่งคณะกรรมการแต่ละท่านที่มาตัดสินนี้เป็น VC (Venture capital) จาก ทั่วโลก บินตรงมาที่ไทย และผู้ร่วมงานยังเป็น vc จากที่ต่างๆ ,สื่อมวลชน มาร่วมชมด้วย
เส้นทางของทั้ง 5 ทีมสุดท้าย ที่ร่วมโครงการ dtac Accelerate ปี2 นี้ ไม่ใช่ได้เข้ารอบมาง่ายๆ เริ่มจากส่งใบสมัครผลงานนำเสนอแนวคิด แผนการดำเนินงาน วิธีการใช้งาน การสร้างรายได้ กลุ่มเป้าหมาย และประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ ซึ่งก็มีผู้สมัครหลายร้อยทีมแล้ว
จากนั้นก็คัดเลือกเหลือเพียง 20 ทีมสุดท้าย ที่จะต้องแข่งในวัน Pitch Day ทุกทีมต้องเข้านำเสนอ idea ต่อคณะกรรมการ เพื่อโอกาสการเรียนรู้ และรับการสนับสนุนจาก โครงการ dtac Accelerate! แล้วคัดเลือกเหลือเพียงแค่ 5 ทีม
ต่อมาเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2557 ดีแทคประกาศผล 5 ทีมสุดท้าย ซึ่งทั้ง 5ทีมจะต้องเข้าอบรม intensive boot camp เป็นเวลา 3 เดือนและ Demo Day ต่อคณะกรรมการ ซึ่งเป็นนักลงทุนชั้นนำจากทั่วโลก (Venture capital) จาก บินตรงมาที่ไทยเพื่อร่วมตัดสิน หา Startup คนไทยที่เจ๋งจริง ในงานนี้โดยเฉพาะ โดยแต่ละท่านล้วนเป็นคนสำคัญในวงการ Startup โลก เช่น คุณเจฟฟรีย์ เพนน์ Manageing Partnet จาก Golden Gate Venture , Kuanhua Hsu จาก Gree Venture , Alex Jarvis จาก Jungle Venture , Adrian Vanzyl จาก Ardent Capital , Hiro Mashita จาก M&S Partner และ Koichi Saito จาก IMJ โดยตัดสินและประกาศผลผู้ชนะในวันนี้ ซึ่งทั้ง 5 ทีมที่นำเสนอนี้ กลับมีผลงาน Startup ที่ผลลัพธ์ดีเกินคาด
ซึ่งขั้นตอนการนำเสนอในวัน Demo Day คือ เสนอผลงานโครงการของแต่ละทีม วิธีการใช้งาน แผนการดำเนินธุรกิจ ต่อนักลงทุนชาวต่างชาติ พร้อมกับคอยตอบคำถามต่างๆจากคณะกรรมการ ซึ่งเป็นนักลงทุน (Venture capital) จากต่างประเทศเดินทางมาฟังถึงประเทศไทยด้วย ซึ่งการนำเสนอโครงการต้องทำให้ VC สนใจ
หลังจากที่ Demo Day เสร็จสิ้นแล้ว ในเวลาประมาณ 16.00น. ก็เป็นช่วงเวลาประกาศผู้ชนะโครงการ Dtac Accelerate ปี 2557 โดยคุณจอน เอ็ดดี้ อับดุลลาห์ CEO DTAC กล่าวแสดงความยินดีกับทั้ง 5ทีม พร้อมประกาศรายชื่อผู้ชนะ 2 ทีม ซึ่งผลปรากฎว่า
ทีม Anywhere to go ผู้พัฒนาแอพ Claim di เป็นผู้ชนะเลิศได้รับรางวัล Digital Winner เป็นตัวแทน Startup จากทีม dtac ประเทศไทย ไปแข่งขันกับตัวแทนจากเครือ Telenor ทั้ง 13 ประเทศ ซึ่งจะแข่งขันกันที่ประเทศนอร์เวย์
ทีม Piggipo กับผลงานแอพ Piggipo แอพด้านการเงินบันทึกรายจ่ายของบัตรเครดิต ได้รางวัลไปร่วมโครงการ Black Box ที่ซิลิคอล วัลล์เลย์ (silicon valley ) สหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ทั้ง 5 ทีมยังได้รับเงินลงทุนเพิ่มเติม และการสนับสนุนการทำตลาดจนสามารถทำตลาดในเชิงพาณิชย์ จากดีแทค รวมมูลค่า 10 ล้านบาทด้วย
รู้จักผลงาน 5 ทีมสุดท้ายที่เข้าร่วมนำเสนองาน ในวัน Demo Day ของโครงการ dtac Accelerate
ทีม Anywhere to go นำเสนอแอพ Claim di แอพ ที่ให้ surveyor ใช้ Mobile ทำเคลมบนท้องถนน ปัจจุบันมี 11 บริษัทที่เข้าร่วมโครงการ ครอบคลุมประกันภัย 3.2 ล้านคัน คิดเป็น 40% ของตลาดรถยนต์ที่ได้ให้บริการอยู่ ซึ่งตอนแรกแอพ Claim di ใช้เฉพาะ Agent เท่านั้น แต่ครั้งนี้แอพนี้จะถึงกลุ่มลูกค้าโดยตรง สามารถ download ได้ฟรีทั้ง iOS และ Android เพื่อทำรายการ “ตรวจสภาพรถ” “ทำเคลมแบบไม่มีคู่กรณี” และ”ทำเคลมแบบชนแล้วแยก” ได้รวดเร็วกว่า version มาเร็ว เคลมเร็ว ทั้งนี้ แอพ Claim Di เป็นงานที่มี IP (Intellectual Property) ร่วมกันระหว่าง Anywhere to go กับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งทีมนี้ใช้เวลา 2 ปีในการทำ R&D เพื่อพิสูจน์ idea ทำให้การใช้งานผ่านแอพ Claim di นี้ ช่วยให้บริษัทประกันภัยสามารถประหยัดเวลาถึง 80% ลดต้นทุน 90% และลดการโกงได้ 100% เต็ม ซึ่งก่อนจะแข่ง Demo Day นั้น ทีมนี้ได้รับเงินลงทุนจากต่างชาติอย่าง 500 Startups ซึ่งจะทำให้แอพ claim di นี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในอนาคต และขยายฐานลูกค้าจากเฉพาะประเทศไทย สู่ตลาดอื่นในเอเชียมากขึ้น
คุณกิตตินันท์ อนุพันธ์ หัวหน้าทีม Anywhere to go ให้สัมภาษณ์ว่า “การอยู่ในแคมป์ 3 เดือนของ Dtac ทำให้คุยกับคนที่ Dtac ให้มาสอน โดยแต่ละคนนั้นมาจากต่างประเทศ ซึ่งแม้ว้าเราอาจหาดูเขาได้จากใน Youtube แต่การที่เราได้มาพูดคุยกับเขาจริงๆ จึงทำให้ได้ถามในสิ่งที่อยากรู้ว่าปัญหานี้จะแก้ยังไง ในการต้องแข่งในระดับต่างประเทศ คิดว่าโมเดลของแอปนั้นสามารถตอบโจทย์คนไทยได้อยู่แล้ว การที่จะไปต่างประเทศไม่ใช่เรื่องยาก เพราะโมเดลที่ทำสามารถใช้งานได้แบบทั่วโลกอยู่แล้ว และมั่นใจมากในการไปแข่ง คิดว่าการได้ไปพูดที่นอร์เวย์ จะทำให้สามารถเติบโตในประเทศข้ามทวีปได้ง่ายขึ้น”
“อยากฝากถึง Startup ว่าการรู้ลึกรู้จริงเกี่ยวกับลูกค้าคือสิ่งสำคัญ ควรจะมองมุมของลูกค้า มากกว่าแอปพลิเคชัน อย่าง Clame di เรามั่นใจว่าเรารู้ลึกของประกันภัยจริงๆ เราถึงจะคิดแก้ปัญหาของลูกค้าได้จริงๆ”
ทีม Piggipo กับแอพ Piggipo แอพเจ้าหมูเขียว ที่สื่อถึงการออมเงิน การจัดการบริหารเงิน ซึ่งโฟกัสไปที่กลุ่มผู้ใช้บัตรเครดิตโดยเฉพาะ ซึ่งพฤติกรรมของคนไทยและอาเซียน ที่ใช้บัตรเครดิตหลายใบ ประสบปัญหาว่า ไม่รู้ใช้บัตรเครดิตทุกใบรวมกันแล้วเท่าไหร่ ใช้จ่ายบัตรเครดิตเกินตัวจนเป็นหนี้บัตรเครดิต ปัญหาสลิปล้นกระเป๋าสตางค์ยังต้องเก็บเพื่อตรวจสอบความถูกต้องกับทางธนาคาร มีปัญหาเรื่องดอกเบี้ย ผ่อนเงินผ่านบัตรเครดิต และปัญหาลืมชำระบัตรเครดิต ซึ่งปัญหาที่กล่าวขั้นต้นนี้จะหมดไปเมื่อใช้แอพ Piggipo นี้ ซึ่งใช้ได้ทั้ง iOS และ Android ที่จะช่วยให้คุณคุมค่าใช้จ่ายบัตรเครดิตได้ง่าย แม้ว่าคุณจะถือบัตรเครดิตถึง 10 ใบหรือมากกว่านั้นก็ตาม เห็นภาพรวมของค่าใช้จ่ายบัตรเครดิตทั้งหมดผ่านทางแอพ มีการแจ้งเตือนให้คุณชำระค่าบัตรเครดิตก่อนวันตัดรอบของแต่ละบัตร มีระบบแสดงการผ่อนชำระบัตรเครดิตให้คุณตรวจสอบได้ง่ายในกรณีคุณผ่อนสินค้าด้วยบัตรเครดิต และปัญหาสลิปที่สะสมจนล้นกระเป๋านี้จะหมดไปเพียงนำแอพนี้ถ่ายสลิปบันทึกไว้ แค่ 3 วินาทีก็เรียบร้อย รูดมากน้อย สลิปเยอะแค่ไหนก็เอาอยู่ แอพนี้เริ่มพัฒนาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2014 จนตอนนี้แอพ Piggipo เป็นแอพทางด้านการเงินที่ได้ยอดโหลดสูงเป็นอันดับ 1 บน App Store นอกจากนี้ได้รับการสนับนสนุนจาก Ookbee และ Dtac accelerate ด้วย
ตัวแทนทีม Piggipo ผู้ชนะได้ร่วมโครงการ Black Box ได้ไป Sillicon Valley ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ” รู้สึกดีใจที่ได้รับโอกาสไป silicon valley จะไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ จะเรียนรู้เพื่อมาพัฒนาทีม พัฒนาแอป ทำให้แอปไทยไประดับโลกให้ได้ เชื่อว่าการเป็น Startupทุกคนถ้ามีความมุ่งมั่นก็ทำได้ แต่สิ่งสำคัญคือการทุ่มเท ตั้งใจ ไม่ว่าอุปสรรคอะไรเราก็ผ่านไปได้ เราควรจะทำเลยและไม่ยอมแพ้ ”
ทีม Fast in Flow แชมป์เก่าจาก Dtac Accelerate ปี 2556 ได้ส่งแอพใหม่ซึ่งคิดและพัฒนาแอพตั้งแต่ต้นปี มีชื่อว่า Tikko ใช้ได้ทั้ง iOS และ Android เป็นแอพบนมือถือที่ใช้ในการตอบแบบสอบถามสั้นๆ เพื่อเก็บแต้มแล้วนำไปแลกของรางวัลได้จริง เช่นบัตรเติมเงิน ตั๋วหนัง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมร่วมสนุก เช่น ลุ้นบัคร Starbucks Gift Card ซึ่งการันตีได้ว่า หลังจากโพสต์คำถามขึ้นทางแอพ Tikko แล้ว จะมีผู้ตอบกลับกว่า 100-200 ราย ต่อวัน ซึ่งแอพนี้ออกแบบมาเพื่อใช้งานง่าย และ tikko ยินดีเป็นตัวกลางของบริษัทต่างๆที่ต้องการทำแบบสอบถามเกี่ยวกับผู้บริโภค เพื่อนำมาปรับปรุงสินค้าและบริการให้ดียิ่งขึ้น
หัวหน้าทีม Fast in Flow ให้สัมภาษณ์ว่า “แผนการต่อไปของ Fast in Flow คือการหาลูกค้ามาใช้งานให้ได้มากที่สุด ตอนนี้สมาชิกในทีมได้ออกจากงานประจำมาทำธุรกิจนี้อย่างเต็มตัว ตอนนี้ก็กำลังระดมทุนอยู่เพื่อให้เติบโตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ อยากฝากถึง Startup ว่า อย่ามัวคิด ทำดีกว่า”
ทีม Drivebot ทีมน้องใหม่ของโครงการนี้ ได้พัฒนาแอพและ Gadget สำหรับผู้ใช้รถในชื่อว่า Drivebot เหมาะกับกลุ่มผู้ใช้รถส่วนตัว เปรียบเสมือน Fitbit สำหรับรถของคุณเลยก็ว่าได้ ที่จะช่วยดูแลแจ้งเตือนเกี่ยวกับสภาพรถ และอุปกรณ์ที่ช่วยให้คุณตัดปัญหาความกังวลเกี่ยวกับรถของคุณ และช่วยให้คุณใช้รถได้ดีขึ้นด้วย วิธีใช้เพียงติดตั้งปลั๊ก Drivebot ที่ตัวรถของคุณ บริเวณ Data Port ในตัวรถ และสามารถตรวจสอบได้โดยเปิดแอพ Drivebot แล้วเชื่อมต่อกับรถยนต์ผ่านทาง Bluetooth เพื่อให้แอพตรวจสอบสภาพรถโดยรอบว่าสมบูรณ์หรือไม่ หากพบปัญหาภายในตัวรถคุณ แอพจะแจ้งเตือนรายงานปัญหาพร้อมกับวิธีแก้ไข บนหน้าจอสมาร์ทโฟนได้ทันที แอพนี้พัฒนาแอพเพียง 3 เดือนเท่านั้น ซึ่งจะเปิดให้ผู้ใช้ได้ใช้งานในเร็วๆนี้ บน iPhone รายละเอียดโครงการสามารถดูได้ที่ drivebot.io
หัวหน้าทีม Drivebot ให้สัมภาษณ์ว่า “ต่อจากนี้จะพัฒนาแอปให้เสร็จและนำออกสู่ตลาดเร็วที่สุด , Startup เป็นสิ่งที่น่าสนใจ อาจเป็นอะไรที่ใหม่ในประเทศเรา แต่เมื่อเข้าสู่วงการนี้เชื่อว่าทุกคนมีอนาคตที่สดใสรออยู่ ”
ทีม Story Log ได้พัฒนาเว็บไซต์ Storylog.co ซึ่งเป็น Social Network สำหรับแบ่งปันเรื่องราวและประสบการณ์ของกันและกัน ทั้งความสนุกสนาน สุข เศร้า เคล้าน้ำตา ฮากระจาย ก็เล่าง่ายๆด้วย Storylog ซึ่งเว็บออกแบบมาให้ใช้งานง่าย เหมือน Twitter ที่สามารถโพสต์เล่าได้เต็มที่ เพียงคุณมีบัญชี facebook ในการ sign-in ใช้งานโพสต์เรื่องเล่าของตัวเองให้คนอื่นได้อ่าน นอกจากนี้คุณยังสามารถอ่านเรื่องราวของคนอื่นๆ พร้อม Like ด้วยคลิกไอคอนหัวใจ ได้ด้วย เรียกได้ว่าเป็น Social Network เรื่องเล่าแบบฉบับไทยๆได้เลยทีเดียว ซึ่งมีคนเข้ามาคลิกชมมากกว่า 1 ล้านวิว เมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้ใช้กว่า 2หมื่นคน ซึ่งเว็บไซต์และแอพ Story Log นี้ใช้เวลาพัฒนาเพียง 3 เดือนเท่านั้น นับตั้งแต่เข้าโครงการ dtacAccelerate ครั้งนี้ สามารถเข้าใช้ได้ที่เว็บไซต์ storylog.co ทั้งบนสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์
หัวหน้าทีม Story Log ให้สัมภาษณ์ว่า “รู้สึกโล่งใจที่ได้มา Picth และทุกคนดูมีความสุขและส่ง feedback กลับมา จะนำสิ่งที่คณะกรรมการบอกมาพัฒนาต่อ ฝากถึง Startup ทุกคนมีปัญหาแต่คนที่จะประสบความสำเร็จคือคนที่อยู่กับปัญหาได้นานที่สุด”
ภาพบรรยากาศ Demo Day ในงาน Dtac Accelerate ปี2
และทั้งหมดนี้คือบรรยากาศและ ความสำเร็จของทั้ง 5 ทีม Startup ไทย ที่ได้ร่วมโครงการ Dtac Accelerate สนับสนุน Startup ไทย ก้าวไกลสู่เวทีระดับโลก