เชื่อว่าหลายๆคนเคย (แอบ) ส่งข้อความขณะขับรถ ทั้งๆที่รู้ว่าอันตรายและไม่สมควรทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ขับรถ เพราะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย แต่ก็ยอมรับว่ามีคนแหกกฎละเมิดอยู่บ่อยครั้ง แม้ว่าโฆษณาของ AT&T ผู้ให้บริการรายใหญ่ได้เตือนผู้ที่ส่งข้อความในขณะขับรถว่าอันตรายอาจเกิดขึ้นเพียงชั่ววูบ หากเพ่งสมาธิไปที่การส่งหรือรับข้อความในขณะขับรถ เพราะเป็นสาเหตุทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงถึงขนาดบาดเจ็บสาหัส หรือเสียชีวิตได้
จากผลการศึกษาพบว่า จำนวนของการเกิดอุบัติเหตุ มีสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับการใช้โทรศัพท์มือถือถึง 20% และหากนับรวมตลอดทั้งปี พบว่ามีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตนับล้านคนที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า อุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน เกิดขึ้นในขณะใช้โทรศัพท์มือถือช่วงที่ขับรถ
ทางการระบุว่า ในปี 2009 พบว่า การส่งข้อความขณะขับรถเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุรถชนกันถึง 23 ครั้ง มากกว่ากรณีที่ผู้ขับรถเพ่งความสนใจบนถนนตรงหน้าเสียอีก
และจากศึกษาอื่นๆ ได้สำรวจปัจจัยที่มีผลต่อการรบกวนสมาธิขับรถ แต่ทางการเองก็ได้พยายามที่จะออกกฎหมายให้ผ่านร่างเพื่อกำหนดห้ามไม่ให้สนทนาและส่งข้อความขณะขับรถ แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ก็ยังคงส่งข้อความขณะขับรถเหมือนเดิม
มีรายงานที่น่าสนใจของเว็บไซต์พอร์ทัลในด้านการศึกษาผ่านอินเทอร์เน็ตชื่อ OnlineSchools.com ได้พยายามรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ รวมไปถึงวอชิงตัน โพสต์ และองค์กรที่กำกับดูแลด้านความปลอดภัยบนท้องถนน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งเวอร์จิเนีย รวมไปถึงสื่ออื่นๆ โดยนำเสนอเป็น infographic อย่างน่าสนใจ
ลองดูและนึกภาพตามว่า เหตุใดทุกคนที่รู้ทั้งรู้ว่าส่งข้อความและใช้มือถือขณะขับรถนั้นอันตราย แต่จนบัดนี้ก็ยังทำอยู่ ท้าทายอุบัติเหตุอย่างมาก
Courtesy of: Online Schools
ข้อสังเกตจาก Infographic
วัยรุ่นและผู้ใหญ่ ต่างก็ละเมิดกฏในการใช้โทรศัพท์มือถือส่งข้อความขณะขับรถ มีสถิติที่น่าสนใจดังนี้
– ในปี 2011 มีจำนวนการเกิดอุบัติเหตุรถชนอย่างน้อย 23% ที่มีสาเหตุเกี่ยวข้องกับการใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ จากจำนวนอุบัติเหตุทั้งหมด 1.3 ล้านกรณี
– เพียงคุณละสายตาจากทัศนวิสัยบนท้องถนนเพียง 5 วินาทีเพื่อส่งข้อความขณะขับรถก็เป็นต้นเหตุให้เกิดโศกนาฏกรรมที่ไม่คาดฝันขึ้นได้
– เชื่อหรือไม่ว่าเพียงคุณละสายตาจากท้องถนนเพียงชั่วครู่ บนความเร็ว 55 ไมล์ต่อชั่วโมง ขณะนั้นคุณก็ใช้ระยะทางที่รถวิ่งไปได้เท่ากับ 1 รอบตามยาวสนามฟุตบอล
– จากสถิติ ถ้าเราละสายตาเพื่อเพ่งความสนใจในการส่งข้อความ จะทำให้เสียสมาธิในการขับรถ เป็นต้นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด 23 เท่า ส่วนการกดโทรออก เพิ่มความเสี่ยง 2.8 เท่า
การฟังหรือการสนทนา เพิ่มความเสี่ยง 1.3 เท่า ส่วนการควานหาโทรศัพท์มือถือ แม้ว่าจะเอามือควานหามือถือในกระเป๋า สายตาจะยังจ้องถนน แต่ก็เสียสมาธิไปชั่วขณะ เพิ่มความเสี่ยง 1.4 เท่า
ส่วนการใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถของวัยรุ่นอายุระหว่าง 18 – 20 ปี เกี่ยวข้องกับการสนทนาหรือส่งข้อความขณะขับรถ 13 เปอร์เซนต์
– 82 เปอร์เซนต์ของชาวอเมริกัน อายุ 16 – 17 ปี มีโทรศัพท์มือถือเป็นของตนเอง โดย 34 เปอร์เซนต์ พวกเขาเคยส่งข้อความขณะขับรถ 52 เปอร์เซนต์ พวกเขาเคยโทรขณะขับรถ และที่น่าแปลกใจก็คือ บางคนคิดว่ามันไม่ใช่ปัญหา และไม่น่าจะเกิดอุบัติเหตุได้
– 77 เปอร์เซนต์ของผู้ขับขี่รุ่นเยาว์ที่เพิ่งทำงาน มั่นใจว่าตนเองสามารถส่งข้อความได้ในขณะขับรถ
– 55 เปอร์เซนต์ของผู้ขับขี่รุ่นเยาว์ อ้างว่าเขาสามารถส่งข้อความในขณะขับรถได้ มันเป็นเรื่องง่ายๆและไม่น่าจะเกิดอุบัติเหตุ
ปัญหาที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นจาก
– วัยรุ่นที่ส่งข้อความในขณะขับรถ เบนความสนใจไปที่การส่งข้อความ จนทำให้รถมีโอกาสกินเลนมากถึง 10 เปอร์เซนต์ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ
ถ้าแม้กระนั้นก็เถอะ ผู้ใหญ่เองก็ไม่ได้เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเยาวชน พวกเขาก็ยังประพฤติตนเช่นเดิม
– 48 เปอร์เซนต์ของผู้ขับรุ่นเยาว์เห็นตัวอย่างจากผู้ปกครองที่คุยโทรศัพท์ขณะขับรถ
– 15 เปอร์เซนต์ของนักขับรุ่นเยาว์เคยเห็นตัวอย่างผู้ปกครองส่งข้อความขณะขับรถ
– 27 เปอร์เซนต์ของผู้ใหญ่เคยรับส่งข้อความในขณะขับรถ
– ยิ่งไปกว่านั้น จะโทษใครไม่ได้ เพราะ 48 เปอร์เซนต์ พบว่าเด็กอายุ 12 – 17 ปีก็จดจำและเลียนแบบ เพราะนั่งในรถที่คนขับส่งข้อความขณะขับรถ (อาจเป็นรถพ่อแม่ เพื่อน ญาติ หรือรถสาธารณะ)
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลที่ยังไม่ได้กล่าวถึง แต่น่าสนใจมากๆก็คือ 1 ใน 5 ของผู้ขับขี่ ในทุกช่วงอายุ เข้าชมเว็บไซต์ขณะขับรถ!!!
คำแนะนำเพื่อความปลอดภัย
– อ่านข้อความอย่างเดียว ปลอดภัยกว่าการเขียนและส่งข้อความ
– หากจำเป็นต้องรับสาย ควรวางมือถือไว้บนที่บังแดดหน้าคนขับ และควรใช้ Speaker Phone หรือ Small Talk
– ควรเพ่งสมาธิไปที่การจราจรบนถนน
– ส่งข้อความได้ในขณะมีสัญญาณไฟแดงหรือหยุดรถเท่านั้น
ส่วนข้อมูลที่น่าสนใจอื่นๆ ติดตามได้จาก Inforgraphic
ข้อมูลเนื้อหาจาก Mashable และภาพประกอบจาก OnlineSchools.com